ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด

ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด Amazfit AirRun VS Kingsmith K15 ใช้แล้วคุ้มค่า ฉบับปี 2024

ยุคปัจจุบันที่มีโรคระบาดโควิด-19 คงทำให้หลายคนๆ ที่ต้องการออกกำลังกาย หรือสายสุขภาพ ไม่ได้ออกกำลังกาย เพราะสถานที่ออกกำลังกายโดนกระทบจากโรคระบาด ต้องปิดสถานที่ชั่วคราวหรือปิดตัวลง และยิ่งต้องรักษาระยะห่างจากคนรอบตัว อาจทำให้สถานที่ออกกำลังกายเป็นความเสี่ยงของโรคระบาดได้อีก ซึ่งจะดีกว่าหรือไม่ ถ้าคุณเลือกซื้อเครื่องออกกำลังกาย ที่ใช้ในบ้านหรือที่อยู่อาศัยอย่าง “ลู่วิ่งไฟฟ้า” ทำให้มีความสะดวกมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากโรคระบาด ซึ่งเป็นที่นิยมไม่แพ้กับ จักรยานออกกำลังกาย และที่สำคัญการออกกำลังกายจากการใช้ลู่วิ่งไฟฟ้าจะทำให้มีการเผาผลาญที่ดี จะยังช่วยลดความเครียดอีกด้วย

ดังนั้น วันนี้ชอบรีวิวจะพาไปดู ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด ยอดนิยม 2 รุ่น อย่าง “ลู่วิ่งไฟฟ้า Amazfit AirRun และ ลู่วิ่งไฟฟ้า Kingsmith K15” ว่ามีคุณสมบัติแตกต่างอย่างไร และเลือกรุ่นไหนดี ถึงจะคุ้มค่าแก่การซื้อมาออกกำลังกายในบ้าน ไปดูกันเลย

สำหรับคนที่เป็นสายออกกำลังกายแบบ Outdoor ไม่ควรพลาดไอเทมเด็ดๆ อย่างสกู๊เตอร์ไฟฟ้า จักรยานพับได้ จักรยานไฟฟ้า หรือจักรยานเสือหมอบ และอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับสายกิจกรรมนั้นก็คือ สมาร์ทวอทช์ แบรนด์ต่างๆ เช่น นาฬิกา Garmin, รองเท้าวิ่ง, รองเท้าเดินป่า,หูฟังออกกำลังกาย หรือ หูฟังไร้สาย มาใช้งาน เพื่อเพิ่มความสนุก และทำให้การออกกำลังกายไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด ฉบับปี 2024

อันดับ 1
Amazfit AirRun Smart Treadmill
Amazfit AirRun Smart Treadmill
  • มีรูปลักษณ์ที่กะทัดรัด แข็งแรง เรียบง่าย ไม่เปลืองพื้นที่ภายในบ้านหรือคอนโด
  • สามารถพับเก็บได้ง่าย ใช้เวลาเพียง 5 วินาที และสอดเก็บใต้โต๊ะหรือโซฟา หลังจากใช้งานได้
  • สายพานติดตั้งระบบ Shock Absorption 8 ตัว ช่วยดูดซับแรงกระแทกขณะวิ่ง ลดอาการปวดเข่า ปวดข้อเท้า
  • สามารถปรับระดับความเร็วได้ 1-15 km/h
  • ขนาดของลู่วิ่งกว้าง ไม่ต้องกลัวตก มีลำโพง JBL ภายในตัวเครื่อง
  • มีระบบแจ้งเตือน เมื่อถึงระยะซ่อมบำรุง
  • เชื่อมต่ออุปกรณ์ มือถือ และ Smart Watch ได้อย่าง Amazfit Bip U Pro และ Mi brand วัดระบบการเต้นของหัวใจ และจัดโปรแกรมการวิ่งได้
อันดับ 2
Kingsmith K15
Kingsmith K15
  • รองรับน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 110 กิโลกรัม
  • ปรับโหมดการออกกำลังกายได้ 3 โหมด (HIIT, Fat Burning, Walking)
  • สายพานมีความเงียบระดับเสียง 60 เดซิเบลเท่านั้น
  • สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi รองรับอุปกรณ์มือถือ iOS และ Android ควบคุมการใช้งานระบบลู่วิ่ง
  • มีปุ่ม Safety Clip หยุดฉุกเฉิน และที่วางมือสามารถพับเก็บได้
  • ตัวเครื่องพับเก็บพิงกำแพงได้เท่านั้นและมีล้อ 4 ล้อใช้เคลื่อนที่ขนย้ายได้ง่าย

รีวิว ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด Amazfit AirRun VS Kingsmith K15 รุ่นไหนดี น่าใช้งาน

ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด น่าลงทุน

หากพูดถึง ลู่วิ่งไฟฟ้า คงได้ยินหรือผ่านหูผ่านตากันมาบ้างอย่าง “ลู่วิ่งไฟฟ้า Amazfit AirRun และ ลู่วิ่งไฟฟ้า Kingsmith K15” เพราะเป็นรุ่นลู่วิ่งไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยสามารถนำไปใช้ในบ้านหรือที่พักอาศัยได้ และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับยุคปัจจุบัน ซึ่งทำให้คุณได้รับสุขภาพที่ดี ปลอดภัย ในระยะยาวด้วยลู่วิ่งไฟฟ้า เช่น การดูดซับแรงกระแทกขณะวิ่ง ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดข้อเท้า หัวเข่า เป็นต้น

อีกทั้งยังสามารถพับจัดเก็บเข้าที่ ให้เป็นระเบียบ ประหยัดพื้นที่ภายในบ้าน แต่ทว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั้ง 2 เครื่องมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป เราจึงมาเปรียบเทียบให้ดูกันชัดๆ ว่าระหว่าง “ลู่วิ่งไฟฟ้า Amazfit AirRun และ ลู่วิ่งไฟฟ้า Kingsmith K15” มีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อที่คุณจะได้รู้ข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด นั่นเอง

1. ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด Amazfit AirRun Smart Treadmill

ลู่วิ่งไฟฟ้า Amazfit AirRun Smart Treadmill

ลู่วิ่งไฟฟ้าสายพานที่มีรูปลักษณ์ภายนอก ที่แข็งแรง เรียบง่าย ไม่ใหญ่จนเกินไป ซึ่งสามารถใช้พื้นที่วางในบ้านหรือคอนโดได้ ไม่เกะกะ และเจ้าตัว “ลู่วิ่งไฟฟ้า Amazfit AirRun” สามารถพับเก็บได้โดยใช้เวลาสั้นๆ เพียง 5 วินาทีเท่านั้น ซึ่งการันตีว่า “พับเก็บง่าย” โดยพับเก็บสอดใต้โต๊ะ หรือโซฟา หลังจากการใช้งาน ไม่เปลืองพื้นที่ในบ้านหรือคอนโดอย่างแน่นอน

อีกทั้งแผ่นวิ่งบนสายพานออกแบบมาป้องกันการลื่นอย่างดี ดูสวยงาม สมราคา ส่วนเรื่องคุณสมบัติของลู่วิ่งไฟฟ้า Amazfit AirRun รองรับน้ำหนักได้ 100 กิโลกรัม มีแผงหน้าจอแถบยาวที่ดูทันสมัย มาพร้อมกับลำโพง JBL ภายในตัวเครื่อง

แถบหน้าจอของลู่วิ่งไฟฟ้าจะมีเพียง 3 ปุ่ม คือปุ่ม Power ใช้เปิด-ปิดเครื่อง และปุ่ม +/- ใช้เพิ่ม-ลดความเร็วของสายพาน โดยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 15 km/h มาพร้อมกับ ระบบที่ช่วยดูดซับแรงกระแทกขณะวิ่ง Shock Absorption 8 ตัว ทำให้ลดอาการปวดเข่า ปวดข้อเท้า ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว

นอกจากนี้ Amazfit AirRun ยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์อย่าง มือถือ และ Smart Watch ต่างๆได้ เช่น Amazfit Bip U Pro และ Mi brand เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate) และสามารถจัดโปรแกรมการวิ่งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งสามารถใช้งานระบบการวิ่งแบบ Virtual Run ผ่านแอพพลิเคชั่น Swift ได้อีกด้วย

จุดเด่น
  • มีรูปลักษณ์ที่กะทัดรัด แข็งแรง เรียบง่าย ไม่เปลืองพื้นที่ภายในบ้านหรือคอนโด
  • สามารถพับเก็บได้ง่าย ใช้เวลาเพียง 5 วินาที และสอดเก็บใต้โต๊ะหรือโซฟา หลังจากใช้งานได้
  • สายพานติดตั้งระบบ Shock Absorption 8 ตัว ช่วยดูดซับแรงกระแทกขณะวิ่ง ลดอาการปวดเข่า ปวดข้อเท้า
  • สามารถปรับระดับความเร็วได้ 1-15 km/h
  • ขนาดของลู่วิ่งกว้าง ไม่ต้องกลัวตก มีลำโพง JBL ภายในตัวเครื่อง
  • มีระบบแจ้งเตือน เมื่อถึงระยะซ่อมบำรุง
  • เชื่อมต่ออุปกรณ์ มือถือ และ Smart Watch ได้อย่าง Amazfit Bip U Pro และ Mi brand วัดระบบการเต้นของหัวใจ และจัดโปรแกรมการวิ่งได้
จุดควรพิจารณา
  • ไม่สามารถปรับความชันได้
  • มีน้ำหนักค่อนข้างหนัก ทำให้ไม่สะดวกในการขนย้าย เพื่อนำไปเก็บหรือนำมาใช้

2. ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด Kingsmith K15

ลู่วิ่งไฟฟ้า Kingsmith K15

ลู่วิ่งไฟฟ้าอัจฉริยะ “Kingsmith K15” สามารถปรับได้ 3 โหมด โหมด HIIT สำหรับมือโปรซ้อมวิ่ง, โหมด Fat Burning เน้นการเผาผลาญแคลอรี่ และโหมด Walking สำหรับ เดินวอร์มอัพ หรือ ต้องการออกกำลังกายแบบเดินช้า-เดินเร็ว เป็นต้น

สามารถพับเก็บแบบพิงกำแพงได้เท่านั้น โดยอยู่ในรูปแบบ 90 องศา และวัสดุสายพานเป็นแบบ Multilayer Fiber ช่วยในเรื่องปรับให้เข้ากับโหมดที่คุณเลือกใช้งานลู่วิ่ง

ส่วนเรื่องคุณสมบัติของลู่วิ่งไฟฟ้า Kingsmith K15 รองรับน้ำหนักได้ 110 กิโลกรัม มาพร้อมกับปุ่มควบคุมบนจอ LED บอกเวลา ความเร็ว ระยะทาง แคลอรี่ และปุ่ม Safety Clip หรือปุ่มหยุดฉุกเฉิน ซึ่งที่วางมือสามารถพับเก็บได้ให้กว้างขึ้น วิ่งได้สบายยิ่งขึ้น โดยการทำงานของสายพานมีความเงียบมากเพียง 60 เดซิเบล และปรับความเร็วเริ่มต้นได้ที่ 0.8 km/h สูงสุด 15 km/h

สามารถเข้าเชื่อมต่อระบบ Wi-Fi ของบ้านได้ และใช้งานกับมือถือได้ทั้ง 2 ระบบ iOS และ Android โดยเข้าใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่น Mi Home ทำให้ควบคุมการใช้งานของ ระบบลู่วิ่งไฟฟ้าได้ทั้งปรับระดับความเร็ว โหมดการใช้งาน เป็นตัวช่วยให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องง่ายกว่าเดิม

จุดเด่น
  • รองรับน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 110 กิโลกรัม
  • ปรับโหมดการออกกำลังกายได้ 3 โหมด (HIIT, Fat Burning, Walking)
  • สายพานมีความเงียบระดับเสียง 60 เดซิเบลเท่านั้น
  • สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi รองรับอุปกรณ์มือถือ iOS และ Android ควบคุมการใช้งานระบบลู่วิ่ง
  • มีปุ่ม Safety Clip หยุดฉุกเฉิน และที่วางมือสามารถพับเก็บได้
  • ตัวเครื่องพับเก็บพิงกำแพงได้เท่านั้นและมีล้อ 4 ล้อใช้เคลื่อนที่ขนย้ายได้ง่าย
จุดควรพิจารณา
  • มีน้ำหนักค่อนข้างมาก สูงถึง 71 กิโลกรัม
  • พับเก็บได้เพียง 90 องศา พิงกำแพงได้เท่านั้น ไม่สามารถสอดใต้โต๊ะหรือโซฟาได้
  • ไม่สามารถปรับความชันได้

ตารางเปรียบเทียบ ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด Amazfit AirRun VS Kingsmith K15

คุณสมบัติลู่วิ่งไฟฟ้า Amazfit AirRunลู่วิ่งไฟฟ้า Kingsmith K15
ความแรงมอเตอร์1.25 แรงม้า ความเร็ว 1-15 km/h1.25 แรงม้า ความเร็ว 0.8-15 km/h
ขนาดลู่วิ่งก่อนพับ(กว้างxยาวxสูง) 159x81x125 ซม.(กว้างxยาวxสูง) 82.8x142x144 ซม.
ขนาดลู่วิ่งหลังพับ(กว้างxยาวxสูง) 159x81x24.5 ซม.(กว้างxยาวxสูง) 82.8x142x31 ซม.
น้ำหนัก63 กิโลกรัม71 กิโลกรัม
ความสามารถรองรับน้ำหนัก100 กิโลกรัม120 กิโลกรัม
ความลาดชัน4%4%
ระบบรองรับแรงกระแทกShock Absorption 8 ตัว ถนอมข้อเท้าและหัวเข่าFiber Standard
ฟังก์ชั่นพิเศษลำโพง JBL ในตัว เชื่อมต่อมือถือและ Smart Watch วัดอัตราเต้นหัวใจและจัดโปรแกรมการวิ่งได้เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi มือถือ และใช้งานผ่านระบบ Mi Home ควบคุมปรับระดับความเร็ว โหมดการวิ่ง
ราคา16,xxx13,xxx

ทำความรู้จักกับลู่วิ่งไฟฟ้า

ปัจจุบันคนนิยมออกกำลังกายบนลู่วิ่งไฟฟ้า เพราะตอบโจทย์ในเรื่องความสะดวกสบาย และให้ความรู้สึกปลอดภัย ลดความเสี่ยงการติดเชื้อจากโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งคนส่วนใหญ่นิยมซื้อลู่วิ่งไฟฟ้ามาใช้วิ่งในบ้านหรือที่พักอาศัยอื่นเช่น คอนโด อพาร์ทเม้นท์ เป็นต้น

โดยลู่วิ่งไฟฟ้าที่ใช้ภายในบ้านล้วนออกแบบมาให้ประหยัดพื้นที่ เก็บใช้งานง่าย อีกทั้งเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เพลิดเพลินในการออกกำลังกาย มีระบบเชื่อมต่อกับมือถือหรือแท็บเล็ต ทำให้ผู้ที่ออกกำลังกายได้ฟังเพลง ดูหนัง ขณะออกกำลังกายได้อีกด้วย และการออกกำลังกายเป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งประเภทการใช้งานของลู่วิ่งไฟฟ้ามีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน

ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ใช้ภายในบ้าน


ลู่วิ่งไฟฟ้าประเภทนี้ ออกแบบมาให้มีขนาดที่เหมาะสม ไม่เปลืองพื้นที่ภายในบ้าน และต้องมีรูปลักษณ์แข็งแรง กะทัดรัด สามารถออกกำลังกายได้อย่างสบายใจ และมีความเป็นส่วนตัว ซึ่งจะเป็นลู่วิ่งไฟฟ้าแนว Smart Treadmill เพื่อให้ผู้ที่ออกกำลังกายใช้งานเทคโนโลยี ระบบของลู่วิ่ง เช่นเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะวิ่ง เป็นต้น

ลู่วิ่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์


จะเห็นลู่วิ่งประเภทนี้ได้ตามสถานที่ออกกำลังกายหรือฟิตเนส ซึ่งลู่วิ่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เหมาะกับการใช้งานที่หนักและใช้งานเป็นประจำ ทำให้มีราคาสูงกว่าลู่วิ่งภายในบ้าน อีกทั้งระบบครอบคลุมกว่าลู่วิ่งทั่วไป ทำให้มีสะพานที่คงทน แข็งแรง ไม่ต้องบำรุงรักษาบ่อยนั่นเอง

วิธีเลือกซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด

การจะเลือกซื้อลูวิ่งไฟฟ้าสักตัว ต้องดูปัจจัยหลายๆอย่าง นำไปประกอบการตัดสินใจ เพื่อให้ได้ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด เหมาะสมกับราคา อีกทั้งได้รับความปลอดภัยจากการใช้งานลู่วิ่งไฟฟ้า สำหรับคนที่กำลังลังเลว่าจะซื้อลู่วิ่งไฟฟ้ายังไงดี ไปดูวิธีเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า เพื่อนำไปพิจารณาเลือกซื้อได้ตามความต้องการ และคุ้มค่าเหมาะสมกับราคากันเลย

ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด น่าลงทุน

1.  เลือกซื้อให้เหมาะกับพื้นที่ในบ้าน

การเลือกซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า ควรคำนึงถึงพื้นที่ในบ้าน เพราะลู่วิ่งไฟฟ้าต้องใช้พื้นที่ในการใช้งาน จัดเก็บ โดยต้องเลือกซื้อลู่วิ่งให้สอดคล้องกับพื้นที่ เช่น หากต้องการวิ่งออกกำลังกายและเดินสบายอาจจะเลือกซื้อลู่วิ่งที่มีขนาดเล็กลงมา เพื่อให้มีพื้นที่ภายในบ้านกว้างขึ้น และมีที่จัดเก็บเหลืออยู่นั่นเอง

2. สายพานของลู่วิ่งต้องมีความปลอดภัย

วัสดุที่ใช้กับสายพานลู่วิ่งไฟฟ้า ต้องมีความปลอดภัย โดยเฉพาะการดูดซับแรงกระแทกขณะวิ่ง เพราะป้องกันอาการเจ็บปวดข้อเท้า หัวเข่า และจำเป็นต้องรองรับน้ำหนักตัวของเราได้ดี ที่สำคัญสายพานต้องมีความกว้าง ความยาว โดยต้องมีความกว้างเกิน 100 ซม. ความยาวเกิน 80 ซม. ซึ่งความกว้างเยอะยิ่งดีเพราะทำให้วิ่งไม่อึดอัด และเพื่อให้ผู้วิ่งออกกำลังกายมีความปลอดภัย ไม่ตกจากสายพาน

3. มีความสะดวกในการใช้งาน

ความสะดวกในการใช้งานลู่วิ่งไฟฟ้าล้วนต้องอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน ทั้งจัดเก็บ นำมาใช้งาน โดยเฉพาะลู่วิ่งที่พับเก็บได้ ทำให้ผู้ใช้งานได้รับความสะดวก หยิบออกมาใช้งานได้ตามที่ต้องการ พร้อมพับเก็บเข้าที่หลังจากใช้งานเสร็จแล้วก็ได้เช่นกัน

4. ความเร็วของลู่วิ่งไฟฟ้า

         สำหรับความเร็วของลู่วิ่งไฟฟ้าที่ใช้ภายในบ้านจะอยู่ที่ 0.5-15 km/h ซึ่งรองรับการใช้งานได้หลายรูปแบบ เช่น เดินเร็ว, จ้อกกิ้ง, วิ่งเร็ว เป็นต้น ถือเป็นความเร็วที่เพียงพอต่อการใช้งานและเหมาะสมกับราคาอีกด้วย

5. การเชื่อมต่ออุปกรณ์

ลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีระบบเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆเช่น Smart Watch, มือถือ จะช่วยให้วัดระดับอัตราการเต้นหัวใจได้แม่นยำ และสามารถจัดโปรแกรมให้สอดคล้องกับอัตราการเต้นหัวใจของเราได้มีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้การออกกำลังกายเห็นผลชัดได้ดียิ่งขึ้น

6. ความแรงของมอเตอร์


ความแรงมอเตอร์ของลู่วิ่งไฟฟ้าที่ใช้ภายในบ้าน ส่วนใหญ่จะมีความแรงอยู่ที่ 1-3  แรงม้า ขณะที่ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ใช้ตามฟิตเนสจะมีความแรงอยู่ที่ 4 แรงม้าขึ้นไป และแน่นอนว่ายิ่งมอเตอร์มีความแรงมากเท่าไหร่ ราคาก็จะสูงตาม ดังนั้นควรเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้าให้เหมาะกับการใช้งาน

7. การรับน้ำหนักของผู้ใช้งาน


ลู่วิ่งไฟฟ้าแต่ละเครื่องมีความสามารถในการรับน้ำหนักของผู้ใช้งานแตกต่างกัน ผู้ซื้อควรคำนึงถึงเรื่องน้ำหนักตัวให้ดี ถ้าซื้อมาใช้ในบ้านต้องคำนึงว่ามีผู้ใช้งานร่วมกันหรือไม่ หากมี ควรยึดผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะที่สุด และซื้อลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีความสามารถรองรับน้ำหนักให้สอดคล้องกับน้ำหนักตัว เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน และเป็นการยืดอายุการใช้งานของลู่วิ่งไฟฟ้าได้นานยิ่งขึ้นอีกด้วย

บทสรุป ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด ฉบับปี 2024

เป็นอย่างไรกับบ้างกับ ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีที่สุด ที่เรานำมาฝากกัน สำหรับลู่วิ่งยอดนิยม ที่ตอบโจทย์การใช้งาน เราขอแนะนำลู่วิ่งไฟฟ้า Amazfit AirRun เพราะมีมาตรฐานที่ดีกว่าทั้งความกว้าง ความยาวของสายพาน ให้ความสะดวกในการใช้งานและให้ความปลอดภัย 

เหมาะสมกับราคา ซึ่งพับจัดเก็บเข้าที่ได้ง่าย สามารถสอดเก็บใต้โต๊ะหรือโซฟา ไม่เกะกะพื้นที่ มาพร้อมกับสายพานที่ติดตั้งระบบ Shock Absorption 8 ตัว ซึ่งดูดซับแรงกระแทกขณะวิ่งได้ดี ลดอาการปวดข้อเท้า ปวดหัวเข่า ทำให้ป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายในระยะยาวได้อีกด้วย

และที่สำคัญสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ มือถือ และ Smart Watch ได้อย่าง Amazfit Bip U Pro และ Mi brand ช่วยวัดระบบการเต้นของหัวใจ และจัดโปรแกรมการวิ่งให้สอดคล้องกับระบบการเต้นหัวใจของคุณ ทำให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Similar Posts