น้ำยากัดสีผม ยี่ห้อไหนดี

แนะนำ 5 น้ำยากัดสีผม ยี่ห้อไหนดี ที่ช่วยให้การทำสีผมออกมาโดนใจที่สุด ปี 2024

พอถึงช่วงปลายๆกุมภาฯใกล้เริ่มเมษาฯ อากาศก็เริ่มร้อนขึ้นส่งสัญญาณบอกเวลาว่าฤดูร้อนค่อยๆเดินเข้ามาหาเราทุกที นอกจากการวางแผนต้อนรับลมร้อนว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี ต้องซื้อบิกินีเก๋ๆ เสื้อผ้าสีสันสวยๆ การทำสีผมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ได้เข้ามาทำให้ซัมเมอร์ของหนุ่มๆสาวๆดูมีชีวิตชีวามากขึ้น 

จะว่าไปพอพูดถึงเรื่องการทำสีผมต้อนรับซัมเมอร์แล้วนั้น ส่วนใหญ่ทุกคนก็คงอยากจะทำสีที่จัดจ้านและสะท้อนความเป็นตัวเองในเวลาเดียวกัน แต่กว่าจะได้สีสว่างๆ สีที่ตรงปกตรงใจนั้นก็ไม่ง่ายเลยนะคะ เพราะเส้นผมของเราต้องผ่านการกัดสีก่อนจึงจะสามารถลงสีที่เราเลือกได้ ซึ่งประสบการณ์ที่ทุกคนต้องมีร่วมกันในขั้นตอนนี้ก็คือการที่เราต้องทนความแสบร้อนที่น้ำยากัดสีผมกำลังทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่พอยังต้องมึนและแสบจมูกกับกลิ่นของน้ำยากัดสีผมอีกด้วย 

อย่างไรก็ตามการจะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นดังที่เราพูดไปข้างต้นก็อาจจะเป็นไปได้ยาก แต่ด้วยความที่ยุคสมัยก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ เทคโนโลยีต่างๆได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอเพื่อให้ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น การผลิตน้ำยากัดสีผมก็เช่นกันค่ะ บางยี่ห้อต้องมีการปรับสูตรเพื่อให้การกัดสีผมนั้นอ่อนโยนต่อสุขภาพของผู้ใช้มากขึ้นและยังคงประสิทธิภาพในการกัดสีผมให้สว่างที่สุดเท่าที่ผู้ใช้ต้องการได้เหมือนเดิม ว่าแต่สำหรับปี 2024 นั้นจะมีน้ำยากัดสีผมจากยี่ห้อไหนบ้าง มาติดตามในบทความแนะนำ 5 น้ำยากัดสีผม ยี่ห้อไหนดีที่ช่วยให้การทำสีผมออกมาโดนใจที่สุด ปี 2024 กันเลยค่ะ

แนะนำ 5 น้ำยากัดสีผม ยี่ห้อไหนดี

Wella blondor multi blonde powder lightener
อันดับ 1
  • เนื้อครีมอ่อนโยนต่อเส้นผม
  • ยกระดับความสว่างได้ 7 ระดับ
  • มี Anti- Yellow agent ป้องกันผมติดเหลือง
  • เหมาะกับการทำสีผมหลากหลายสไตล์
Schwarzkopf BLONDME Bond me Enforcing Premium Lightener
อันดับ 2
  • ยกระดับสีผมให้สว่างได้ถึง 9 ระดับ
  • เหมาะสำหรับคนที่เคยย้อมผมสีน้ำตาลเข้มมาก่อนหรือมีพื้นผมเป็นสีน้ำตาลเข้มอยู่แล้ว
  • Bond Protection System รักษาคุณภาพความเเข็งแรงของเส้นผม
  • กรด Succinic สร้างผลลัพธ์หลังการกัดสีให้ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
     
NIGAO Bleaching Cream Maxx Light
อันดับ 3
  • ระดับความสว่างมี 4 ระดับตามเปอร์เซ็นของ Hydrogen ที่มีให้เลือก
  •  อ่อนโยนต่อเส้นผมและป้องกันภาวะผมเสียจากการฟอกผมซ้ำ
  •  มาในรูปแบบเนื้อครีมไม่หนืดข้น
  •  ราคาไม่แรง

แนะนำ 5 น้ำยากัดสีผม ยี่ห้อไหนดีที่ช่วยให้การทำสีผมออกมาโดนใจที่สุด ปี 2024

เรื่องผมนี่เป็นเรื่องที่ใครหลายๆคนให้ความสำคัญไม่ต่างจากการบำรุงผิวหน้าหรือการแต่งหน้าเลยนะคะ ยิ่งเป็นเรื่องสีผมกว่าจะตัดสินได้ว่าจะเอาสีอะไรดี สีไหนจะเข้ากับสีผิว ก็ใช้เวลานานแล้ว แต่ก็อย่าลืมโฟกัสเรื่องน้ำยากัดสีผมด้วยน้าา เพราะเป็นขั้นตอนที่สามารถกำหนดความสว่างหรือความเข้มของสีผมที่จะได้ออกมาในขั้นตอนสุดท้ายเลย แต่น้ำยากัดสีผม ยี่ห้อไหนดี ที่ช่วยให้การทำสีผมออกมาโดนใจที่สุดกันนะ ไม่รีรอ ไปทำความรู้จักกับแต่ละยี่ห้อกันเลยดีกว่า

1. Wella blondor multi blonde powder lightener

Wella blondor multi blonde powder lightener

เริ่มกันที่น้ำยากัดสีผมตัวแรกจากยี่ห้อ Wella Professional ยี่ห้อผลิตภัณฑ์ดูแลผมสัญชาติเยอรมัน ซึ่งตัวที่เรานำมาให้รู้จักก็คือ Blondor multi blonde powder lightener ตัวนี้นั่นเอง จุดเด่นของน้ำยากัดสีผมตัวนี้อยู่ตรงที่เนื้อครีมมีความอ่อนโยนต่อเส้นผมและยังสามารถยกระดับสีผมได้ถึง 7 ระดับ ซึ่งค่อนข้างดีมากเพราะยิ่งยกระดับได้เยอะก็จะส่งผลต่อสีผมที่ออกมาให้ตรงหรือใกล้เคียงกับสีที่เราอยากได้มากที่สุด 

นอกจากนี้ยังมี Anti-yellow agent ที่ป้องกันไม่ให้สีผมติดเหลืองหลังกัดสีอีกด้วยและเพิ่มความแม่นยำในการทำสีผมในหลายๆสไตล์ได้เป็นอย่างดีเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นบาลายาจ ออมเบรหรือจะย้อมทั้งหัวน้ำยากัดสีผม Blondor multi blonde powder lightener ก็ช่วยให้เราได้ผลลัพธ์โดยรวมที่น่าพึงพอใจ 

จุดเด่น
  • เนื้อครีมอ่อนโยนต่อเส้นผม
  • ยกระดับความสว่างได้ 7 ระดับ
  • มี Anti- Yellow agent ป้องกันผมติดเหลือง
  • เหมาะกับการทำสีผมหลากหลายสไตล์
จุดควรพิจารณา
  • ตัวผงกัดกับ developer ขายเเยกกัน
  •  ราคาสูง

2. Schwarzkopf BLONDME Bond me Enforcing Premium Lightener

chwarzkopf BLONDME Bond me Enforcing Premium Lightener

น้ำยากัดสีผม ยี่ห้อไหนดี ตัวต่อมาก็คือ Schwarzkopf BLONDME Bond me Enforcing Premium Lightener ตัวนี้ค่อนข้างจะเหมาะสำหรับสาวๆหรือหนุ่มๆที่เคยย้อมผมโทนสีน้ำตาลมาก่อนหน้านี้หรือใครก็ตามที่มีพื้นผมเป็นสีน้ำตาลเข้มมากๆค่ะ โดยจุดเด่นของน้ำยากัดสีผมยี่ห้อนี้ก็คือความสามารถในการยกระดับสีผมให้สว่างได้ถึง 9 ระดับเลยทีเดียว และเราก็ไม่ต้องกังวลว่าถ้าสามารถทำให้ผมสว่างได้ขนาดนี้ผมเราจะเสียหรือเปล่าเพราะว่าน้ำยากัดผมตัวนี้มี Bond Protection System ที่เป็นตัวทำหน้าที่รักษาคุณภาพความเเข็งแรงของเส้นผมเอาไว้ 

อีกทั้งยังมีมีกรด Succinic ที่จะมาสร้างผลลัพธ์หลังการกัดสีให้ออกมาได้อย่างน่าทึ่งแบบเกินคาดมากๆ อย่างไรก็ตามสำหรับยี่ห้อนั้นยังมีการเกิดความระคายเคืองบนหนังศรีษะอยู่หน่อยๆซึ่งสาเหตุอาจเป็นเพราะระดับของการยกสีผมที่ค่อนข้างสูงบวกกับตัวกรดดังกล่าวด้วย ดังนั้นจุดนี้ก็อาจจะนำมาเป็นข้อควรพิจารณาเพื่อใช้ในการเลือกซื้อน้ำยากัดสีผมได้นะคะทุกคน

จุดเด่น
  • ยกระดับสีผมให้สว่างได้ถึง 9 ระดับ
  • เหมาะสำหรับคนที่เคยย้อมผมสีน้ำตาลเข้มมาก่อนหรือมีพื้นผมเป็นสีน้ำตาลเข้มอยู่แล้ว
  • Bond Protection System รักษาคุณภาพความเเข็งแรงของเส้นผม
  • กรด Succinic สร้างผลลัพธ์หลังการกัดสีให้ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
จุดควรพิจารณา
  • สามารถสร้างความระคายเคืองให้แก่หนังศรีษะ
  • ผงกัดสีขายแยกกันกับตัว developer 
  • ราคาค่อนข้างสูง

3. NIGAO Bleaching Cream Maxx Light

NIGAO Bleaching Cream Maxx Light

ในส่วนของน้ำยากัดสีผม ยี่ห้อ NIGAO ซึ่งเป็นแบรนด์จากฝั่งญี่ปุ่นที่ได้มาอยู่กับคนไทยเป็นเวลา 15 ปีเเล้วนั้นเขาก็มีน้ำยากัดสีผมที่ชื่อว่า NIGAO Bleaching Cream Maxx Light เป็นสูตรเพิ่ม ประสิทธิภาพ เพิ่มระดับความสว่างสูง แต่อ่อนโยนต่อเส้นผมและป้องกันภาวะผมเสียจากการฟอกผมซ้ำ ที่ราคานั้นถือว่ากำลังดีและเหมาะกับการซื้อาทำผมเองที่บ้านมากๆเลย ซึ่งตัวนี้เนี่ยมาในรูปแบบครีมที่ได้แบ่งเปอร์เซ็นต์ Hydrogen ในน้ำยา developer มาให้เรียบร้อยแล้วนะทุกคน

ซึ่งเราสามารถเลือกซื้อได้ตามความเหมาะสมเลย มีตั้งแต่ 3%, 6%, 9% จนไปสุดที่ 12% แล้วถ้าถามว่าแต่ละเปอร์เซ็นต์เหมาะกับผมแบบไหนบ้างล่ะ ทางแบรนด์ก็ได้แนะนำไว้ดังนี้คือ 3% และ 6% เหมาะกับผู้ที่มีผมแห้งเสียหรือผ่านการทำเคมีมาอย่างหนัก  ต่อมา 9% เหมาะสำหรับผู้ที่มีสภาพเส้นผมแข็งแรง และสุดท้าย 12% เหมาะสำหรับผู้ที่มีสภาพเส้นผมแข็งแรง เส้นใหญ่ หรือผมหยักศก พ

อดูเเล้วก็ค่อนข้างจะอำนวยความสะดวกในการเลือกซื้อและลดขั้นตอนการผสมน้ำยาไปได้เยอะเลย อีกย่างก็คือเนื้อครีมไม่หนืดมากด้วยค่ะซึ่งโอเคมากๆเลยนะ 

จุดเด่น
  • ระดับความสว่างมี 4 ระดับตามเปอร์เซ็นของ Hydrogen ที่มีให้เลือก
  •  อ่อนโยนต่อเส้นผมและป้องกันภาวะผมเสียจากการฟอกผมซ้ำ
  •  มาในรูปแบบเนื้อครีมไม่หนืดข้น
  •  ราคาไม่แรง

 

จุดควรพิจารณา
  • อาจจะเหมาะกับคนที่ไม่ได้ต้องการกัดผมให้ออกสีบลอนมากๆหากพิจารณาจากระดับความสว่าง
  •  มีส่วนผสมของ persulfate สามารถสร้างความระคายเคืองต่อผิวหนังและทางเดินหายใจ

 

4. Mercy Hair Bleaching

Mercy Hair Bleaching

เอาล่ะค่ะ สำหรับน้ำยากัดสีผม ยี่ห้อไหนดี ตัวที่สี่นั้น เรามาดูกันที่น้ำยากัดสีผมอย่าง Mercy Hair Bleaching กันบ้าง ซึ่งใครที่ทำสีผมแนวฉูดฉาดบ่อยๆคงจะคุ้นเคยกับยี่ห้อนี้เป็นอย่างดี เพราะผลิตภัณฑ์ของเขาขึ้นชื่อว่าทำมาเพื่อหนุ่มๆสาวๆที่อยากจะทำสีผมสุดคูลเป็นที่สะกดสายตาทุกคู่ที่มองมากันเลยทีเดียว 

ซึ่งในส่วนของน้ำยากัดสีผมยี่ห้อนี้นั้นมาในรูปแบบผงฟอกผมขาว ชนิดขาวเร็วพิเศษค่ะ ซึ่งมีระดับการยกสีผมให้สว่าง 2 ระดับ โดยดูจากปริมาณของเปอร์เซ็นต์ของ Hydrogen น้ำนมที่ทางยี่ห้อนี้ได้ผลิตออกมาคือ 6% สำหรับคนที่ผมเสีย เส้นเล็ก อยากให้สีที่กัดออกมาไม่สว่างจนเกินไป กับ 9% สำหรับคนที่ผมเส้นใหญ่และเคยย้อมสีดำมาก่อน 

นอกจากนี้น่ำยากัดผมตัวนี้ยังอ่อนโยนต่อเส้นผม ไม่มีกลิ่นที่ทำให้แสบจมูก แสบตา จนรู้สึกเวียนหัวด้วย เยี่ยมมากเลย อย่างไรก็ตามหากใครที่กำลังเล็งน้ำยากัดผมตัวนี้อยู่อาจจะต้องประเมินผมตัวเองด้วยนะคะว่าหนามากน้อยแค่ไหนเพราะถ้าหากซื้อชุดเล็กที่มาพร้อมกับ Hydrogen ในแพ็คเกจเพียงชุดเดียวสำหรับบางคนเช่นคนที่มีผมหนาเนี่ยอาจจะไม่พอนะคะ 

จุดเด่น
  • น้ำยากัดสีผมเป็นชนิดที่ขาวเร็วพิเศษจึงทำให้ประหยัดเวลาในการกัดสี
  • อ่อนโยนต่อเส้นผม ไม่มีกลิ่นที่ทำให้แสบจมูก แสบตา จนรู้สึกเวียนหัว
  •  มี hydrogen มากับตัวแพ็คเกจไม่ต้องซื้อแยก
จุดควรพิจารณา
  • ระดับการยกสีผมมีเพียง 2 ระดับ
  • ปริมาณผงกัดสีผมและ Hydrogen ที่ได้ใน 1 ชุดอาจมีจำกัด หากผู้ใช้มีผมหนามากจำเป็นต้องซื้อเพิ่ม

 

 

5. Berina Hair Bleaching Powder

Berina Hair Bleaching Powder

  และแล้วก็มาถึงยี่ห้อสุดท้ายที่มีชื่อเสียงและอยู่คู่คนไทยมานานและหาซื้อง่ายมากอย่าง Berina ที่มีน้ำยากัดผมในรูปแบบผงชื่อว่า Berina Hair Bleaching Power ที่ราคานั้นย่อมเยาสบายกระเป๋ามากๆ แถมยังมาพร้อมกับตัว developer ที่มี Hydrogen 12% มาให้ผสมไม่ต้องซื้อแยกอีกต่างหาก 

ซึ่งผลลัพธ์หลังกัดสีคือสว่างขึ้นมาประมาณ 3-4 ระดับนะ แต่ด้วยความที่มีเปอร์เซ็นต์ Hydrogen ที่สูงจึงมีโอกาสที่น้ำยากัดผมจะไม่ค่อยถนอมเส้นผมได้เท่าที่ควร อาจจะมีกลิ่นที่ให้แสบจมูกและระคายเคืองผิวหนัง ดังนั้น ถ้าหากใครใช้น้ำยาตัวนี้ก็อย่าลืมใส่ถุงมือเพื่อไม่ให้ผิวได้รับอันตรายจากน้ำยากัดสีผมด้วยนะคะ

จุดเด่น
  • หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง
  • ผลลัพธ์หลังกัดสีสว่างขึ้นประมาณ 3-4 ระดับ
จุดควรพิจารณา
  • ปริมาณ Hydrogen ค่อนข้างสูงและสามารถเลือกซื้อได้เพียงระดับเดียว
  • มีโอกาสที่น้ำยากัดสีผมจะไม่ค่อยถนอมเส้นผม
  • มีโอกาสที่น้ำยากัดสีผมจะมีกลิ่นที่ให้แสบจมูกและระคายเคืองผิวหนัง

เคล็ดลับการกัดสีผมให้ได้ดั่งใจ

แนะนำ 5 น้ำยากัดสีผม ยี่ห้อไหนดี

สำหรับบางคนนั้นอาจจะอยากกัดสีผมด้วยตัวเองแทนการไปที่ร้านเสริมสวยเพราะเป็นการประหยัดเงินในกระเป๋า แต่การทำเองนั้นบางครั้งอาจจะยังไม่ตรงใจเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามเราก็มีเคล็ดลับที่น่าสนใจและทุกคนสามารถเอาไปใช้เพื่อเพิ่มสกิลการทำผมได้ตามขั้นตอนด้านล่างนี้เลยค่ะ

แต่เดี๋ยวก่อน 

ก่อนจะไปเริ่มกันจริงๆเนี่ยสำรวจความพร้อมให้แน่ใจก่อนนะคะว่าเสื้อที่กำลังใส่อยู่หากเปื้อนน้ำยากัดสีผมหรือน้ำยาย้อมสีแล้วจะไม่มาเสียใจทีหลังนะคะ เอาล่ะถ้ามั่นใจแล้วก็ไปเริ่มกันเลย

  1. ผสมผงกัดสีกับน้ำยาดีเวลลอปเปอร์: ขั้นตอนนี้เราสามารถกะปริมาณได้ตามวิธีการใช้ตามที่แนบมาข้างกล่องของน้ำยากัดสีผมยี่ห้อที่เราเลือกซื้อมาใช้นะคะ เพราะแต่ละยี่ห้อเขาได้กำหนดปริมาณที่เหมาะสมไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าหากสาวๆคนไหนที่ผมหนาและสีดำขลับแล้วเนี่ยอาจจะต้องมีการปรับเพิ่มเล็กน้อยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงปกมากยิ่งขึ้นค่ะ
  1. ทาน้ำยากัดสีผมให้ทั่วถึง: เพื่อให้ทั่วถึงเราจำเป็นต้องใช้กิ๊บปากเป็ดมาเป็นตัวช่วยในการแบ่งผมเป็นช่อๆซึ่งต้องค่อยๆทำไปทีละช่อโดยทุกช่อให้เริ่มลงน้ำยากัดสีจากกึ่งกลางไล่ไปถึงปลายช่อผมก่อนแล้วค่อยปิดท้ายที่บริเวณโคนผมค่ะ
  1. รอให้น้ำยาทำหน้าที่ของตัวเอง: เมื่อผ่านขั้นตอนที่ 2 มาแล้วก็จะถึงช่วงเวลาของการรอค่ะ ซึ่งขั้นตอนนี้ควรใช้หมวกอาบน้ำมาคลุมผมที่เคลือบน้ำยากัดสีไว้เพื่อเพิ่มพลังในการกัดสีจากนั้นก็รอให้กระบวนการการกัดสีดำเนินจนเสร็จตามกรอบเวลาที่แต่ละยี่ห้อได้แนะนำไว้ข้างกล่อง ดังนั้นควรอ่านวิธีการใช้ให้ละเอียดเพื่อผลลัพธ์ที่ต้องอยู่กับเส้นผมของเราไปอีกนานนะคะ
  1. สระผมและนวดผม: เมื่อรอจนครบเวลาที่กำหนดแล้วเราก็สระผมให้สะอาดเพื่อเอาน้ำยากัดสีออกตามด้วยครีมนวดผมเพื่อเพิ่มความนุ่มของเส้นผม จากนั้นก็เช็ดผมและเป่าผมให้แห้ง
  1. ลง Hair Toner: ในส่วนของการลง Hair toner นั้นจะช่วยแก้จุดที่ไม่พึงประสงค์หลังจากการกัดสีผมโดยจะขจัดจุดที่ติดสีเหลืองหรือติดสีทองเหลืองและทำให้สีผมหลังกัดมีความสม่ำเสมอกันยิ่งขึ้น

บทสรุปทิ้งท้าย

เอาล่ะค่ะทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง เจอน้ำยากัดสีผมที่อยากใช้แล้วหรือยังคะ ถ้ายังลังเลอยู่เราเชียร์ให้น้ำยากัดสีผมของ Wella blondor multi blonde powder lightener คือยี่ห้อที่ทุกคนควรได้ลองเพราะมีจุดเด่นตรงที่เนื้อครีมอ่อนโยนต่อเส้นผม สามารถยกระดับความสว่างได้ถึง 7 ระดับ 

นอกจากนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องติดเหลืองเลยเพราะมี Anti- Yellow agent ที่มาแก้ปัญหานี้ให้หมดไป ที่สำคัญเราคิดว่าการที่น้ำยากัดสีผมตัวนี้เหมาะกับการทำสีผมได้อย่างหลากหลายสไตล์นี่แหละค่ะเป็นสิ่งที่ยี่ห้อนี้ได้เป็น winner ประจำบทความนี้ไป เนื่องจากสิ่งนี้ได้ทำให้การลงทุนกับเรื่องผมมีความคุ้มค่ามากขึ้น 

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะทั้งการกัดสีผมหรือการย้อมผมเนี่ยเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายที่สามารถเกิดขึ้นกับผมได้เลย ดังนั้นหลังจากล้างผมเอาน้ำยาออกก็ควรหาผลิตภัณบำรุงผมอย่างเคราติน เซรั่มบำรุงผม หรือทรีทเม้นท์ผมมาใช้อย่างสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพผมที่ดีด้วยนะคะ นอกจากนี้ถ้ากัดสีพร้อมกับมีสีผมสุดเริ่ดแล้วก็ลองเพิ่มความสนุกด้วยการใช้เครื่องหนีบผมมาปรับแต่งลุคใหม่ๆให้กับผมสีสวยของคุณก็เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลยค่ะ

Similar Posts