จุดเด่นของ-iPhone-15-และฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ-iOS-17

รวมจุดเด่นของ iPhone 15 และฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ iOS 17 จากงานเปิดตัว Apple Wonderlust

ในช่วงเดือนกันยายนของปี 2023 นี้มีหนึ่งในไฮไลท์ที่สำคัญอย่างมาก สำหรับคนที่เป็นสาวก Apple หรือชื่นชอบในการใช้งานสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อยู่เสมอ ซึ่งก็คือการเปิดตัว iPhone 15 ที่เป็นมือถือเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด และถูกเปิดตัวมาเป็นประจำทุกปีของทางแบรนด์นั่นเอง โดยภายในงานเปิดตัวที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุดนั้น ได้มีจุดเด่นที่น่าสนใจมากมายของมือถือ iPhone ที่ทำให้หลายคนเกิดความสนใจ และรู้สึกถึงความแปลกใหม่และความคุ้มค่าที่มากขึ้นของตัวสินค้า ดังนั้น ในวันนี้บทความของเราจึงจะเป็นการแนะนำเกี่ยวกับฟีเจอร์ จุดเด่นของ iPhone 15 และความน่าสนใจที่เกิดขึ้นกับ iPhone Series นี้ หลังจากงานเปิดตัวที่ผ่านมานั่นเอง

สเปกและจุดเด่นของ iPhone 15 Series 

สเปกและจุดเด่นของ iPhone 15

มาเริ่มกันเลยกับฟีเจอร์ จุดเด่นของ iPhone 15 และความน่าสนใจที่เกิดขึ้นกับ iPhone Series นี้ หลังจากงานเปิดตัวที่ผ่านมา

iPhone 15 (เริ่มต้นที่ ฿32,900)

iPhone-15-สเปก
  • หน้าจอแสดงผล 6.1 นิ้วพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR OLED 24-bit ความละเอียด 1,179 x 2,556 พิกเซล
  • กระจกหน้าจอ Ceramic Shield
  • จอแสดงผล HDR10
  • CPU Apple A16 Bionic 6-core ความเร็ว 3.46 GHz
  • GPU Apple Neural Engine 16-core และ Apple GPU 6-core
  • ระบบปฏิบัติการ iOS 17
  • RAM 6 GB LPDDR5 (รอการยืนยัน)
  • ขนาดความจุ 128, 256 และ 512 GB
  • กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.6 และกล้อง Ultrawide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
  • กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.9
  • การบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K สูงสุด 60 fps
  • มาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP68
  • แบตเตอรี่ 3,877mAh (รอการยืนยัน)
  • การชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย MacSafe Qi2
  • พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C (2.0)
  • ตัวเลือก 5 สี ประกอบด้วย black, yellow, pink, green และ blue

iPhone 15 Plus (เริ่มต้นที่ ฿37,900)

iPhone-15-plus
  • หน้าจอแสดงผล 6.7 นิ้วพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR OLED 24-bit ความละเอียด 1,290 x 2,796 พิกเซล
  • กระจกหน้าจอ Ceramic Shield
  • จอแสดงผล HDR10
  • CPU Apple A16 Bionic 6-core ความเร็ว 3.46 GHz
  • GPU Apple Neural Engine 16-core และ Apple GPU 6-core
  • ระบบปฏิบัติการ iOS 17
  • RAM 6 GB LPDDR5 (รอการยืนยัน)
  • ขนาดความจุ 128, 256 และ 512 GB
  • กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.6 และกล้อง Ultrawide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
  • กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.9
  • การบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K สูงสุด 60 fps
  • มาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP68
  • แบตเตอรี่ 3,877mAh (รอการยืนยัน)
  • การชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย MacSafe Qi2
  • พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C (2.0)
  • ตัวเลือก 5 สี ประกอบด้วย black, yellow, pink, green และ blue

iPhone 15 Pro (เริ่มต้นที่ ฿41,900)

iPhone-15-pro-สเปก
  • หน้าจอแสดงผล 6.1 นิ้วพร้อมหน้าจอ LTPO Super Retina XDR OLED 24-bit ความละเอียด 1,179 x 2,556 พิกเซล
  • กระจกหน้าจอ Ceramic Shield
  • จอแสดงผล HDR10+
  • CPU Apple A17 Pro 6-core
  • GPU Apple Neural Engine 16-core และ Apple GPU 6-core
  • ระบบปฏิบัติการ iOS 17
  • RAM 8 GB LPDDR5 (รอการยืนยัน)
  • ขนาดความจุ 128, 256,512 GB และ 1 TB
  • กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.8, กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, กล้อง Ultrawide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และ TOF 3D LiDAR scanner
  • กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.9
  • การบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K สูงสุด 60 fps
  • มาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP68
  • แบตเตอรี่ 3,650mAh (รอการยืนยัน)
  • การชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย MacSafe Qi2
  • พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C (3.0)
  • ตัวเลือก 4 สี ประกอบด้วย natural titanium, black titanium, white titanium และ blue titanium

iPhone 15 Pro Max (เริ่มต้นที่ ฿48,900)

สเปกและจุดเด่นของ-iPhone-15
  • หน้าจอแสดงผล 6.7 นิ้วพร้อมหน้าจอ LTPO Super Retina XDR OLED 24-bit ความละเอียด 1,290 x 2,786 พิกเซล
  • กระจกหน้าจอ Ceramic Shield
  • จอแสดงผล HDR10+
  • CPU Apple A17 Pro 6-core 
  • GPU Apple Neural Engine 16-core และ Apple GPU 6-core
  • ระบบปฏิบัติการ iOS 17
  • RAM 8 GB LPDDR5 (รอการยืนยัน)
  • ขนาดความจุ 256,512 GB และ 1 TB
  • กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.8, กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, กล้อง Ultrawide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และ TOF 3D LiDAR scanner
  • กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.9
  • การบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K สูงสุด 60 fps
  • มาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP68
  • แบตเตอรี่ 3,650mAh (รอการยืนยัน)
  • การชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย MacSafe Qi2
  • พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C (3.0)
  • ตัวเลือก 4 สี ประกอบด้วย natural titanium, black titanium, white titanium และ blue titanium

ฟีเจอร์ที่เป็นไฮไลท์และจุดเด่นของ iPhone 15

iphone-15-iphone-15-plus

การเปิดตัวฟีเจอร์และองค์ประกอบที่เป็นไฮไลท์ จุดเด่นของ iPhone 15 มีอยู่มากมายในเรื่องต่าง ๆ ทั้งความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจนกับพื้นฐานของฮาร์ดแวร์ และการปรับเปลี่ยนดีไซน์การออกแบบและวัสดุ หรือเพิ่มความหลากหลายให้กับการทำงานร่วมกันภายใต้ระบบปฏิบัติการ iOS 17 ที่เพิ่งถูกเปิดตัวมาพร้อมกันได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจากทั้งหมดที่เราได้เห็นกันไปในงานเปิดตัวนั้น เรียกว่าสามารถสร้างเสียงฮือฮาและความแปลกใจ ให้กับสาวกของ iPhone ในปัจจุบันได้มากมายเลยทีเดียว ส่วนสิ่งที่ถูกเปลี่ยนแปลงและพัฒนามาในปีนี้ จะมีเรื่องไหนที่น่าสนใจบ้างมาติดตามไปพร้อมกันได้เลย

ชิปประมวลผล Apple A17 Pro

เรื่องที่เป็นไฮไลท์หลักของมือถือ iPhone ทุกปี คือ การเปิดตัวชิปประมวลผลข้อมูลตัวใหม่ ซึ่งจะมีความแรงและประสิทธิภาพ ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี โดยรุ่นนี้มีการเปลี่ยนชื่อต่อท้ายรุ่นจาก Bionic ไปเป็น Pro เพื่อแสดงให้เป็นถึงการทำงานโดยรวม ที่ก้าวกระโดดจากรุ่นที่ผ่านมามากว่าที่เคยเป็น ซึ่งชื่อของชิปประมวลผลข้อมูลตัวนี้ คือ Apple A17 Pro ที่เป็นชิปขนาด 3 นาโนเมตรตัวแรกของทาง Apple และเพิ่มจำนวน GPU จากเดิมที่มีอยู่ 5-core ไปเป็น 6-core ทำให้ความแรงโดยรวมนั้นเพิ่มขึ้นมาจากรุ่นก่อนอย่าง Apple A16 Bionic ถึง 20% 

รวมไปถึงยังมีรองรับการประมวลผลข้อมูลด้วย ray tracing จากการทำงานของฮาร์ดแวร์ ที่เมื่อใช้งานร่วมกันกับ RAM ขนาด 8 GB จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการใช้งานเชิงกราฟิก อย่างการเล่นเกมหรือการรับชมคอนเทนต์ความละเอียดสูง ได้ด้วยประสิทธิภาพที่แตกต่างจากรุ่นที่ผ่านมาอย่างมาก ดังนั้น ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่มากมายของชิปประมวลผลตัวล่าสุดนี้ จึงทำให้รุ่นท็อปที่จะต้องติดตั้งชิปตัวนี้อย่าง iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max จะสามารถสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับมือถือ iPhone ได้แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างมากแน่นอน

การใช้งานพอร์ต USB-C

ก้าวที่สำคัญและเป็นความเปลี่ยนแปลง ที่สาวกของ iPhone รอคอยกันมาอย่างยาวนานตลอดหลายปี คือ การเปลี่ยนจากพอร์ต Lightning ที่มีการใช้งานกันมาตั้งแต่ iPhone 5 ซึ่งกินระยะเวลามากกว่า 10 ปี ไปเป็นพอร์ตแบบ USB-C ที่เป็นมาตรฐานใหม่และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานส่วนต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่การชาร์จแบตเตอรี่ที่รวดเร็วกว่าเดิม ด้วยการรองรับมาตรฐานการชาร์จไฟ 35 วัตต์ และการรองรับการส่งข้อมูลภายใต้มาตรฐาน Thunderbolt 4 ที่ถูกใช้งานกับ Macbook และ iMac ในปัจจุบัน ซึ่งสำหรับ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะทำความเร็วในการส่งไฟล์ได้สูงสุด 480 Mbps จากพอร์ตแบบ USB-C 2.0 ในขณะที่ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max จะสามารถทำความเร็วได้มากขึ้นถึง 10 Gbps ด้วยพอร์ตแบบ USB-C 3.0 ที่ถือว่ารวดเร็วมากกว่าถึง 20 เท่า

จากทั้งหมดในการเปลี่ยนแปลงพอร์ตมาเป็น USB-C นั้น ทำให้คุณสมบัติในการส่งข้อมูลความละเอียดสูง สามารถทำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งตอบโจทย์คุณสมบัติของการบันทึกภาพนิ่งอย่าง ProLaw และวิดีโอ ProRes ที่ถูกติดตั้งมาให้กับ iPhone รุ่นใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น สำหรับคนที่ชื่นชอบหรือมีความจำเป็นในการบันทึกวิดีโอ 4K 60 fps เพื่อส่งออกไปตัดต่อจาก iPhone โดยตรง จึงสามารถใช้งานพอร์ตรูปแบบใหม่นี้ ได้อย่างตอบโจทย์มากกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้าอย่างแน่นอน

การเปลี่ยนวัสดุใหม่ให้กับ iPhone 15 ทุกรุ่น

หนึ่งในสิ่งที่เป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน สำหรับ iPhone 15 Series ในปีนี้ คือ การเลือกใช้งานวัสดุแบบใหม่อย่างไทเทเนียม ที่มีคุณสมบัติด้านความแข็งแรงทนทานที่มากขึ้น ด้วยคุณภาพของวัสดุที่เป็นมาตรฐานเดียวกับอุตสาหกรรมอวกาศ ทำให้ iPhone ทุกรุ่นของปี 2023 จะรองรับการใช้งานระยะยาว และป้องกันความเสียหายจากการตกกระแทกได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยถึงแม้จะมีความทนทานที่สูงขึ้น แต่น้ำหนักของ iPhone 15 ทุกรุ่น กลับเบาลงมาจาก iPhone 14 ในปีที่ผ่านมาอย่างมาก ทำให้ถึงแม้จะเป็น iPhone รุ่น Pro Max ที่หลายคนวิจารณ์เกี่ยวกับน้ำหนักของตัวเครื่อง ที่อาจไม่เหมาะสำหรับการพกพามากนัก ก็ถูกแก้ปัญหาไปได้อย่างชัดเจนในรุ่นนี้ 

ที่สำคัญด้วยการปรับเปลี่ยนวัสดุในครั้งนี้ ก็ช่วยเสริมภาพลักษณ์ด้านความสวยงามและสัมผัสที่หรูหรา ให้แตกต่างจากมือถือ iPhone ทั้งหมดที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี จากการรันตีของนักรีวิวทั่วโลกที่เห็นเป็นเสียงเดียวกันอีกด้วย 

การปรับขนาด Dynamic Island ให้มีขนาดเล็กลงในทุกรุ่น

iPhone 15 ทุกรุ่นของปีนี้มีการปรับขนาดของ Notch บนหน้าจอ หรือที่เรียกว่าเป็น Dynamic Island ที่เป็นพื้นที่รวมของเซ็นเซอร์และกล้องถ่ายภาพให้มีขนาดเล็กลงจากเดิม ช่วยเพิ่มความหรูหราและทันสมัยให้กับ iPhone ของปีนี้ได้มากขึ้น รวมถึงยังเพิ่มพื้นที่ให้กับการใช้งานบนหน้าจอ ให้มากกว่า iPhone ทั้งหมดที่มีผ่านมาได้ด้วยในเวลาเดียวกัน 

โดยที่การปรับแต่งในส่วนของการทำงาน เรื่องที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน คือ การเพิ่มระดับความสว่างของพื้นที่ส่วนนี้ ให้สามารถใช้งานได้ดีขึ้นมาจากเดิม หลังจากถูกเปิดตัวมาเป็นครั้งแรกกับ iPhone 14 Series และได้รับเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับระดับความสว่าง ที่ทำให้การใช้งานไม่สะดวกมากนัก รวมไปถึงยังมีการเพิ่มลูกเล่นของหน้าจอ ให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เช่น การแสดงระยะเวลาการส่งอาหารของแอป Uber บนแถบ Dynamic Island โดยตรง เป็นต้น ซึ่งก็ช่วยทำให้การใช้งาน iPhone ปีนี้ มีความสนุกสนานและสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ให้กับผู้ใช้งานได้มากขึ้นมาอีกไม่น้อยเลยทีเดียว

การเพิ่มความละเอียดกล้องถ่ายภาพของรุ่นมาตรฐาน 48 ล้านพิกเซล

เรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนที่กำลังเล็งซื้อ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus คือ การที่มือถือรุ่นดังกล่าวมีการปรับเปลี่ยนความละเอียดของกล้องหลัก มาให้มีความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล เช่นเดียวกันกับ iPhone รุ่นโปรของปีนี้และปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สามารถสนับสนุนการบันทึกภาพแบบ ProLaw และการบันทึกวิดีโอ ProRes ได้อีกหนึ่งขั้น เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ต้องการมือถือสายถ่ายภาพหรือบันทึกวิดีโอ iPhone รุ่นนี้ก็จะสามารถตอบโจทย์ได้ดีมากกว่ารุ่นที่ผ่าน ๆ มาอย่างแน่นอน

ฟีเจอร์ที่เป็นไฮไลท์ของ iOS 17

iPhone-15

iOS 17 เป็นระบบปฏิบัติการตัวล่าสุด ที่ถูกเปิดตัวมาพร้อมกับ iPhone 15 ในปี 2023 ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงมากมาย ที่เราสามารถพบเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกันกับ iOS 16 ที่ถูกใช้งานในปีก่อนหน้า โดยจะเน้นไปที่การเพิ่มเติมฟีเจอร์การใช้งานใหม่ และการพัฒนาฟีเจอร์เก่าเพื่อให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงใช้งานได้หลากหลายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากคุณเป็นคนที่ใช้งาน iPhone SE 2, iPhone XR, iPhone XS Series, iPhone 11 Series, iPhone 12 Series, iPhone 13 Series และ iPhone 14 Series อยู่ในปัจจุบัน คุณก็สามารถดาวน์โหลดและอัพเกรดเป็น iOS เวอร์ชันดังกล่าว เพื่อใช้งานฟีเจอร์ที่เรากำลังจะแนะนำต่อไปได้เลย

AirDrop

ถึงแม้ว่า AirDrop จะเป็นฟีเจอร์ส่งข้อมูลพื้นฐาน ที่มีการติดตั้งมาให้กับอุปกรณ์ของ Apple มาอย่างยาวนาน แต่บนระบบปฏิบัติการ iOS 17 นี้ Apple ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพการส่งผ่านข้อมูลของฟีเจอร์นี้ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของความง่ายและเร็วในการส่งข้อมูล ที่คุณจะทำให้คุณสามารถส่งรูปภาพ, ข้อความ, ไฟล์เอกสาร หรือแม้แต่วิดีโอได้ ด้วยการนำตัวเครื่องมาใกล้กันเพียงเท่านั้น และฟีเจอร์ส่วนนี้ก็เป็นส่วนสนับสนุน ที่จะทำให้ฟีเจอร์อื่น ๆ สามารถทำงานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น NameDrop ที่เราจะกล่าวถึงในส่วนต่อ ๆ ไป

Stand by

ไฮไลท์หลักที่สร้างเสียงฮือฮาได้มากมาย ในระหว่างการเปิดตัว iOS 17 คือ ฟีเจอร์ Stand by ที่จะทำให้หน้าจอแสดงผลของคุณ สามารถใช้งานได้สะดวกและเพิ่มความคุ้มค่าได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับเปลี่ยนหน้าจอให้สามารถรองรับได้ทั้งการเปิดใช้งานปฏิทิน, นาฬิกา หรือ Widget อื่น ๆ ในระหว่างที่ไม่ได้ใช้งานตัวเครื่อง และนอกจากการเปิดใช้งานฟีเจอร์ลักษณะนี้ในแนวตั้ง ที่ถือเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่เราพบเห็นได้กับมือถือ Android หลาย ๆ รุ่นแล้ว Apple ก็ได้พัฒนาฟีเจอร์นี้ให้มีความหลากหลายต่อการใช้งานที่มากยิ่งขึ้น ด้วยการรองรับการใช้งานแนวนอน และการเปิดใช้งานองค์ประกอบต่าง ๆ ได้ 2 อย่างพร้อมกัน โดยในการทำงานของฟีเจอร์ตัวนี้ คุณไม่จำเป็นจะต้องเปิดใช้งานจากตัวเครื่องให้วุ่นวาย เนื่องจากการทำงานจะเริ่มต้นทันที หลังจากที่มีการเสียบสายชาร์จเข้าสู่มือถือในทุกเวลาอยู่แล้วนั่นเอง

NameDrop

NameDrop เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกใส่เพิ่มเข้ามาให้กับ iOS 17 ซึ่งจะเป็นรูปแบบของนามบัตร ที่ให้คุณสามารถใช้ในการส่งระหว่าง iPhone ที่รองรับระบบปฏิบัติการเดียวกันได้ ด้วยการนำมือถือมาเข้าใกล้กันเพียงเท่านั้น โดยที่พื้นฐานแล้วเป็นฟีเจอร์สนับสนุนการใช้งาน ที่ไม่ได้มีผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ โดยตรง แต่อาจมีผลต่อการทำงานหรือการติดต่อระหว่างบุคคลได้อยู่ไม่น้อย และหากคุณไม่ต้องการใช้งานฟีเจอร์นี้ ก็สามารถเลือกเปิด-ปิดตามสถานการณ์ เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจากภาพรวมที่ถูกออกแบบมานั้น ก็เป็นหนึ่งในฟีเจอร์เล็ก ๆ ของระบบปฏิบัติการตัวใหม่ ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

Add Sticker

หากกล่าวถึงสิ่งที่เพิ่มความแปลกใหม่ให้กับการใช้งานเกี่ยวกับการแชท ภายใต้การทำงานของระบบปฏิบัติการ iOS 17 ได้มากที่สุด สิ่งที่หลายคนให้ความสนใจ ก็คือ Add Sticker ที่ให้เราสามารถทำ Sticker ทั้งรูปบุคคลไปจนถึงองค์กรประกอบต่าง ๆ จากภาพถ่ายได้ ด้วยการกดใช้งานฟีเจอร์นี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งหลังจากที่ทำการบันทึก Sticker ออกมาแล้ว คุณจะสามารถนำไปใช้งานกับแอป iMessage ที่เป็นแอปพลิเคชันส่งข้อความพื้นฐานบนอุปกรณ์ Apple ทุกตัวได้ในทันที ส่งผลให้สามารถสร้างความสนุกสนาน ให้กับการพูดคุยในกลุ่มเพื่อของคุณได้มากยิ่งขึ้น และลดความน่าเบื่อให้กับ Sticker แบบเดิม ๆ ของคุณไปได้มากเลยทีเดียว

Contact Poster

สำหรับ Contact Poster เป็นตัวช่วยที่จะช่วยเพิ่มความสนุกสนาน และลดความน่าเบื่อในการใช้งาน iPhone แบบเดิมให้ได้มากขึ้น ด้วยคุณสมบัติในการปรับแต่งรูปภาพ เพื่อส่งไปยังอุปกรณ์ของคนอื่น ในกรณีที่คุณโทรหาพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งการปรับแต่งรูปภาพที่ส่งไปนั้น จะทำได้ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนโทนสีต่าง ๆ ไปจนถึงการเพิ่มข้อความและใส่สติ๊กเกอร์เพิ่มเติม ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีฟีเจอร์ Live Voicemail ที่จะทำการถอดเสียงแบบสด ในกรณีที่คุณได้ฝากข้อความไว้หลังจากการโทรอีกด้วย

ความแตกต่างระหว่าง iPhone 14 และ iPhone 15

iphone-15-vs-iphone-14

ดีไซน์การออกแบบ

โดยรวมแล้ว iPhone 15 มีความแตกต่างกับ iPhone 14 ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในปีก่อนหน้าอยู่พอสมควร ในด้านของดีไซน์การออกแบบภายนอก โดยสิ่งที่เราจะสามารถสังเกตได้นั้น จะเป็นเรื่องของการออกแบบ Notch Display ที่ถูกใช้งานกันมาตั้งแต่ iPhone X ที่ในรุ่นนี้มีการปรับเปลี่ยนเป็น Dynamic Island เช่นเดียวกันกับรุ่นโปรของ iPhone 14 และ 15 ในปีนี้ และขอบของตัวเครื่องที่เป็นสีดำบริเวณด้านหน้า ที่มีการปรับให้เล็กลงเพื่อเพิ่มความสวยงาม และทำให้หน้าจอมีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น 

ส่วนเรื่องที่เป็นไฮไลท์ที่แตกต่างอย่างชัดเจน แน่นอนว่าจะต้องเป็นการที่ iPhone ของปีนี้ มีการเลือกใช้งานวัสดุใหม่อย่างไทเทเนียม ส่งผลให้สัมผัสของตัวเครื่องมีความแปลกใหม่ ในขณะที่น้ำหนักจะมีความเบาลงมาจากเดิม แต่มีความทนทานที่มากยิ่งขึ้น และการเปลี่ยนปุ่มปิดเสียงแบบสับสวิตช์บริเวณด้านข้าง ให้เป็นปุ่มกดที่เราสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานให้หลากหลายได้มากยิ่งขึ้นอย่าง Action Button 

นอกจากนี้อีกหนึ่งสิ่งที่ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ก็คือการเปลี่ยนพอร์ตจาก Lightning มาเป็น USB-C และตัวเลือกสีของสินค้าที่ปีนี้เน้นไปในโทนพาสเทล ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะมีการเปลี่ยนแปลงในทุกปีอยู่แล้วนั่นเอง

สเปกการทำงาน

เรื่องแรกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องของสเปกตัวเครื่อง แน่นอนว่าจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงของชิปประมวลผล ที่ iPhone 15 จะถูกพัฒนาขึ้นมาจากปีที่แล้ว ด้วยการใช้งานชิปประมวลผล Apple A16 Bionic ที่ถูกใส่มาให้กับเรือธงของปีที่แล้วอย่าง iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ส่งผลความเร็วในการประมวลผลสิ่งต่าง ๆ ก็จะมีความรวดเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และด้วยการทำงานของชิปประมวลผลตัวนี้ ก็ทำให้ระยะเวลาการใช้งานของ iPhone 15 เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันอย่างชัดเจนว่ายาวนานกว่า iPhone 14 กี่ชั่วโมงก็ตาม 

นอกจากนี้สิ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงไปในด้านของสเปกตัวเครื่อง ก็จะเน้นไปที่เรื่องของกล้องถ่ายภาพเป็นหลัก ซึ่งจากเดิมที่กล้องหลักนั้นจะมีความละเอียดเพียง 12 ล้านพิกเซล แต่รุ่นนี้กลับมีการเปลี่ยนเซ็นเซอร์ให้มีความละเอียดสูงขึ้นถึง 48 ล้านพิกเซล ทำให้ในภาพรวมจึงทำให้ความสามารถในการถ่ายภาพ เพิ่มขึ้นมาจากเดิมอีกมากเลยทีเดียว

ความแตกต่างระหว่าง iPhone 14 Pro และ iPhone 15 Pro

iPhone-15-pro-vs-iphone-14-pro

ดีไซน์การออกแบบ

สำหรับการออกแบบของ iPhone 14 Pro และ iPhone 15 Pro นั้น ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดมากนัก เนื่องจากยังคงใช้งานดีไซน์กล้องหน้าเป็นแบบ Dynamic Island เช่นเดิมกันกับรุ่นของปีที่แล้ว โดยถึงแม้ว่าจะมีการทำออกมาให้ขนาดเล็กลง และออกแบบขอบสีดำบริเวณหน้าจอ ให้มีขนาดที่ลดลงจากเดิมมากยิ่งขึ้น ก็ยังคงทำให้การมองจากภายนอกดูไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย 

แต่สำหรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้น ก็แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของวัสดุ ที่ถูกเปลี่ยนเป็นไทเทเนียมที่ทนทานขึ้น และช่วยให้น้ำหนักเบาลงเช่นเดียวกันกับ iPhone 15 ซึ่งรวมไปถึงปุ่มกดแบบ Action Button ก็ถูกเปลี่ยนจากสวิตช์ปิดเสียงตัวเครื่องแบบดั้งเดิมด้วยเช่นกัน 

ส่วนสิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจน และเป็นเรื่องที่ผู้ใช้งานให้ความสนใจอย่างมาก จะเป็นเรื่องของการใช้งานพอร์ตแบบ USB-C ที่ของรุ่นโปรจะเป็นแบบ USB 3.0 ที่มีความเร็วการส่งข้อมูลสูงกว่า iPhone 15 และ iPhone 15 Plus และการปรับเปลี่ยนสีให้มีความเข้ากันกับวัสดุใหม่ที่เป็นไทเทเนียมมากยิ่งขึ้น โดยที่สีหลักประจำปีของปีนี้ก็คือ Natural Titanium จากปีก่อนหน้าที่มีสีหลักเป็น Purple นั่นเอง

สเปกการทำงาน

สิ่งที่แตกต่างในด้านของสเปกการทำงานระหว่าง iPhone 14 Pro และ iPhone 15 Pro จัดว่ามีอยู่ค่อนข้างมากพอสมควร เมื่อเทียบกันกับ iPhone 15 และ iPhone 14 ที่เป็นรุ่นเล็กของทั้ง 2 ซีรีส์ ซึ่งส่วนที่สำคัญที่สุดของปีนี้ คือ การเปลี่ยนมาใช้งานชิปประมวลผล Apple A17 Pro ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการทำงานของฟังก์ชันต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมและจัดการพลังงาน หรือแม้แต่การส่งข้อมูลผ่านพอร์ตแบบใหม่ ที่จะช่วยให้รวดเร็วได้มากยิ่งขึ้น ภายใต้มาตรฐานของ Thunderbolt 4

การออกแบบหน้าจอถูกเปลี่ยนมาเป็นแบบ LTPO Super Retina XDR OLED พร้อมการรองรับการแสดงผล HDR 10+ ทำให้สามารถใช้งานในเชิงคอนเทนต์และการเล่นเกม ได้อย่างสวยงามและสมจริงมากยิ่งขึ้น จากปีก่อนหน้าที่เป็นเพียง LTPO OLED ที่รองรับเพียงมาตรฐาน HDR 10 เท่านั้น นอกจากนี้เพื่อสนับสนุนการใช้งานเชิงคอนเทนต์ให้ดีได้มากยิ่งขึ้น Apple จึงมีการเปลี่ยน GPU ให้เป็นแบบ 6-core อีกด้วย

ในด้านของการใช้ถ่ายภาพรุ่นนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับ iPhone 15 ที่กล้องหลักนั้นจะมีความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 48 ล้านพิกเซล ในขณะที่เซ็นเซอร์ภาพถ่ายตัวอื่น ๆ จะยังคงมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเช่นเดิม แต่จะสามารถรองรับการถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอได้ดีมากยิ่งขึ้น จากการประมวลผลภาพของชิปเซ็ตตัวใหม่ที่เราได้กล่าวไป ซึ่งการทำงานทั้งหมดที่เพิ่มขึ้น ก็ยังรวมไปถึงเซ็นเซอร์ LiDAR Scanner ที่ใช้สำหรับการวัดระยะชัดลึกของวัตถุด้วยเช่นกัน

บทสรุป สเปกและจุดเด่นของ iPhone 15

จากความเปลี่ยนแปลงที่มากมายของ iPhone 15 Series และ iOS 17 เมื่อเทียบกันกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง iPhone 14 Series ในปีที่ผ่านมา ทำให้ความคุ้มค่าและน่าสนใจของคน ที่กำลังตัดสินใจจะซื้อมือถือ iPhone เครื่องใหม่ในปี 2023 นี้เพิ่มขึ้นมาจากเดิมเป็นอย่างมาก ดูได้จาก จุดเด่นของ iPhone 15 ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการออกแบบ, กล้องถ่ายภาพ, ชิปประมวลผลข้อมูล หรือแม้แต่ฟีเจอร์การทำงานต่าง ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมากมากมาย ซึ่งหากคุณเองก็สนใจและต้องการเปรียบเทียบว่า iPhone ของปีนี้หรือปีก่อนหน้า มีรุ่นไหนที่คุ้มค่าและเหมาะสำหรับคุณหรือไม่ เราก็มีบทความเกี่ยวกับมือถือ iPhone ที่ให้คุณสามารถเรียนรู้และเลือกซื้อไปพร้อมกันได้ด้วยเช่นกัน

Similar Posts