คอมพิวเตอร์และแล็ปท็อปเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้กับคนเราในปัจจุบันได้มากมาย โดยเฉพาะในเชิงของการทำงานและธุรกิจ ทั้งงานที่มีความง่ายและเป็นพื้นฐานอย่างงานด้านเอกสาร หรือแม้แต่งานในเชิงลึกอย่างงานของโปรแกรมเมอร์ก็ตาม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการทำงานในรูปแบบใดตาม เราจำเป็นจะต้องมีการส่งข้อมูลระหว่างกันอยู่เสมอ เพื่อให้การทำงานมีความสะดวกและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ซึ่ง Switch hub ก็คือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญ ที่จะทำให้เราสามารถทำงานและส่งข้อมูลระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำให้คุณได้รู้จักกับอุปกรณ์ตัวนี้มากยิ่งขึ้น และแนะนำว่าหากคุณจำเป็นจะต้องใช้งานตัวสินค้า ควรจะต้องเลือกซื้อ Switch hub ยี่ห้อไหนดี จึงจะดีและตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้มากที่สุดในปี 2024 นี้
10 Switch hub ยี่ห้อไหนดี
- Switch hub TP-Link LS1005G
- Switch hub Tenda SG105
- Switch hub TP-Link TL-SG108
- Switch hub TP-Link TL-SG1005D
- Switch hub Tenda Gigabit Switch
- Switch hub ZYXEL MG-108
- Switch hub Mercusys MS105G
- Switch hub ZYXEL GS1900-8
- Switch hub D-LINK DES-F1006P-E
- Switch hub ZYXEL XGS1250-12
- ขนาดเล็กกะทัดรัดไม่เปลืองพื้้นที่จัดวาง
- ราคาค่อนข้างย่อมเยาแต่มีประสิทธิภาพสูง
- เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานด้วย Green Tech
- สามารถเชื่อมต่อและใช้งานได้ทันที
- รองรับการส่งข้อมูลผ่านความเร็วเครือข่ายที่หลากหลาย
- ไฟแสดงผลการทำงานบริเวณด้านบน
- การรับประกัน 5 ปี
- รองรับการส่งข้อมูลได้สูงถึง 2 GB
- ความเร็วการส่งข้อมูลสูงกว่าปกติถึง 10 เท่า
- ดีไซน์หรูหราและล้ำสมัย
Switch hub ยี่ห้อไหนดี 2024
สำหรับคนที่ต้องการเลือกซื้อ Switch hub ตัวเลือกสินค้าเหล่านี้จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณในช่วงเวลานี้แน่นอน
1. TP-Link LS1005G
แบรนด์และรุ่นสินค้า | TP-Link LS1005G |
จำนวนช่องเชื่อมต่อ | 5 พอร์ต |
อัตราการส่งข้อมูล | 10, 100 และ 1,000 Mbps |
ปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด | – |
ปริมาณการประหยัดพลังงานสูงสุด | – |
ระยะเวลาการรับประกัน | – |
Switch hub ยี่ห้อไหนดี รุ่นแรกเป็น Switch hub TP-Link ที่เหมาะสำหรับการใช้งานกับทุกพื้นที่ ด้วยจำนวนของช่องเชื่อมต่อ LAN 5 ช่อง ที่เพียงพอทั้งกับการใช้งานในออฟฟิศขนาดทั่วไป และการเชื่อมต่อเครือข่ายของอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้าน ซึ่งการเชื่อมต่อจะทำได้ง่ายโดยไม่จำเป็นจะต้องติดตั้งซอฟต์แวร์อะไรให้วุ่นวาย โดยที่การทำความเร็วของระบบเครือข่าย จะรองรับได้ตั้งแต่ 10, 100 ถึง 1,000 Mbps และนอกจากช่องเชื่อมต่อจะถูกออกแบบมาอย่างมีเสถียรภาพ และวางตำแหน่งให้จัดเรียงสายได้ง่ายแล้ว ก็ยังมีการใช้งานเทคโนโลยี Green Tech สำหรับช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานมาให้อีกด้วย
- ขนาดเล็กกะทัดรัดไม่เปลืองพื้้นที่จัดวาง
- ราคาค่อนข้างย่อมเยาแต่มีประสิทธิภาพสูง
- เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานด้วย Green Tech
- สามารถเชื่อมต่อและใช้งานได้ทันที
- รองรับการส่งข้อมูลผ่านความเร็วเครือข่ายที่หลากหลาย
- พอร์ตแต่ละตัวถูกออกแบบมาในลักษณะเดียวกัน
- ไม่เหมาะกับการใช้งานในเครือข่ายขนาดใหญ่
2. Tenda SG105
แบรนด์และรุ่นสินค้า | Tenda SG105 |
จำนวนช่องเชื่อมต่อ | 5 พอร์ต |
อัตราการส่งข้อมูล | 10, 100 และ 1,000 Mbps |
ปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด | 2 GB |
ปริมาณการประหยัดพลังงานสูงสุด | – |
ระยะเวลาการรับประกัน | 5 ปี |
Switch hub ยี่ห้อไหนดี ตัวนี้มีการออกแบบภายนอกที่ค่อนข้างทันสมัย และมีองค์ประกอบสำหรับใช้ในการเชื่อมต่อที่มีเสถียรภาพ ช่วยให้เราสามารถใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในพื้นที่ได้อย่างมั่นใจ ผ่านช่องเชื่อมต่อจำนวน 5 ช่อง ที่รองรับอัตราการส่งข้อมูลได้ที่ 10, 100 และ 1,000 Mbps แต่โดยรวมจะสามารถทำความเร็วในการทำงานได้สูงสุดที่ 2 GB และเมื่อเทียบกับรุ่นที่เป็นแบบ 100M รุ่นนี้จะสามารถเพิ่มความเร็วในการทำงานได้สูงสุดถึง 10 ครั้งในการส่งข้อมูล ซึ่งด้วยการมีคุณสมบัติในการส่งข้อมูลด้วยความเร็วระดับนี้ จึงทำให้ไม่ว่าการใช้งานกับระบบการส่งไฟล์ทั่วไป หรือแม้แต่การส่งไฟล์ประเภทวิดีโอ ก็ล้วนแล้วแต่ทำได้ด้วยความเร็วที่ยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งสิ้น
- ไฟแสดงผลการทำงานบริเวณด้านบน
- การรับประกัน 5 ปี
- รองรับการส่งข้อมูลได้สูงถึง 2 GB
- ความเร็วการส่งข้อมูลสูงกว่าปกติถึง 10 เท่า
- ดีไซน์หรูหราและล้ำสมัย
- ไม่เหมาะสำหรับระบบขนาดใหญ่
- ขนาดค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพการทำงาน
3. TP-Link TL-SG108
แบรนด์และรุ่นสินค้า | TP-Link TL-SG108 |
จำนวนช่องเชื่อมต่อ | 8 พอร์ต |
อัตราการส่งข้อมูล | 10, 100 และ 1,000 Mbps |
ปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด | – |
ปริมาณการประหยัดพลังงานสูงสุด | 82% |
ระยะเวลาการรับประกัน | – |
TP-Link TL-SG108 เป็น Switch hub ที่น่าสนใจ ด้วยจำนวนช่องเชื่อมต่อที่มีอยู่ทั้งหมด 8 ช่อง ซึ่งทำให้รองรับการใช้งานกับออฟฟิศ ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากได้อย่างเพียงพอ โดยที่ความเร็วการส่งข้อมูลของแต่ละช่องนั้น จะสามารถทำได้ตั้งแต่ 10, 100 และ 1,000 Mbps แตกต่างกันออกไป และในการใช้งานก็ยังสามารถทำได้ง่ายเป็นพิเศษ แบบไม่จำเป็นต้องติดตั้งหรือตั้งค่าการทำงานาในระบบเลยแม้แต่น้อย จากการเป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาในลักษณะ Unmanaged ที่สำคัญยังมีคุณสมบัติในการประหยัดลพลังงานที่ยอดเยี่ยม จากการเลือกใช้งานเทคโนโลยี Green Ethernet ที่ทำให้ใช้พลังงานต่ำกว่าอุปกรณ์ทั่วไปถึง 82% อีกด้วย
- สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง
- จำนวนช่องเชื่อมต่ออุปกรณ์ 8 ช่อง
- ความทนทานสูงจากวัสดุแบบโลหะ
- เทคโนโลยี Green Ethernet สำหรับประหยัดพลังงาน
- ไม่จำเป็นต้องติดตั้งก่อนการใช้งาน
- ขนาดและน้ำหนักค่อนข้างสูง
- ไม่แน่ชัดเรื่องปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด
4. TP-Link TL-SG1005D
แบรนด์และรุ่นสินค้า | TP-Link TL-SG1005D |
จำนวนช่องเชื่อมต่อ | 16 พอร์ต |
อัตราการส่งข้อมูล | 10 และ 100 Mbps |
ปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด | 5 GB |
ปริมาณการประหยัดพลังงานสูงสุด | 80% |
ระยะเวลาการรับประกัน | – |
TP-Link TL-SG1005D เป็น Hub เชื่อมต่อระบบจากทาง TP-Link ที่คุณสามารถเชื่อมต่อและใช้งานได้ทันที โดยไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลาตั้งค่า หรือดาวน์โหลดซอฟต์แวร์เพิ่มเติม ซึ่งการทำงานทั้งหมดของตัวสินค้า จะสามารถประหยัดพลังงานได้ดี ด้วยเทคโนโลยี Green Ethernet Save Power ที่มีคุณสมบัติในการประหยัดไฟได้สูงสุดถึง 80% และรองรับเทคโนโลยี Auto MDI และ MDIX เพื่อเพิ่มเสถึยรภาพให้กับการเชื่อมต่อได้มากยิ่งขึ้นด้วยในเวลาเดียวกัน ส่วนการติดตั้งก็นอกจากจะทำได้ง่าย ดังที่เรากล่าวไปข้างต้นแล้ว ด้วยการออกแบบเคสภายนอกมาเป็นวัสดุพลาสติก ก็ทำให้สามารถติดตั้งกับผนังของทุกพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมด้วยเช่นกัน
- รองรับระบบ Auto MDI และ MDIX
- สามารถติดตั้งได้กับทุกพื้นที่
- รองรับการส่งข้อมูลสูงสุดได้เพียงพอต่อการใช้งานภายในบ้าน
- การประหยัดไฟประสิทธิภาพสูง
- สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องตั้งค่า
- อัตราการส่งข้อมูลสูงสุดต่ำกว่า 1,000 Mbps
- ไม่เหมาะสำหรับเครือข่ายขนาดใหญ่
5. Tenda Gigabit Switch
แบรนด์และรุ่นสินค้า | Tenda Gigabit Switch |
จำนวนช่องเชื่อมต่อ | 5 พอร์ต |
อัตราการส่งข้อมูล | 10, 100, 1,000 และ 2,000 Mbps |
ปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด | 10 GB |
ปริมาณการประหยัดพลังงานสูงสุด | – |
ระยะเวลาการรับประกัน | – |
Tenda Gigabit Switch เป็นสินค้าที่น่าสนใจจากคำถามว่าคุณควรเลือกซื้อ Switch hub ยี่ห้อไหนดี จึงจะคุ้มค่าและมีราคาย่อมเยา สำหรับการใช้งานในบ้านมากที่สุด ด้วยราคาวางขายไม่เกิน 500 บาท แต่มีสเปกโดยรวมที่ตอบโจทย์การใช้งานในระบบของอุปกรณ์ ภายในบ้านทั่วไปได้อย่างเหมาะสม ทั้งจากจำนวนช่องเชื่อมต่อทั้งหมด 5 ช่อง และการรองรับอัตราการส่งข้อมูล ที่สามารถทำได้สูงสุด 2,000 Mbps ไปจนถึงการรองรับการส่งข้อมูลที่ทำได้มากสุดถึง 10 GB อย่างไรก็ตามด้วยการมีขนาดของตัวเครื่องที่กะทัดรัด ก็ทำให้การติดตั้งค่อนข้างประหยัดพื้นที่ และเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่โต๊ะทำงาน ที่มีขนาดไม่มากนักด้วยในเวลาเดียวกัน
- ขนาดตัวเครื่องโดยรวมที่เล็กกะทัดรัดเป็นพิเศษ
- ปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 10 GB
- การรองรับอัตราการส่งข้อมูลสูงสุด 2,000 Mbps
- รองรับการใช้งานกับเครือข่ายที่มีอุปกรณ์ประเภทต่าง ๆ ได้หลากหลาย
- ระบบการใช้งานแบบ Plus and Play
- วัสดุกรอบนอกแบบพลาสติกที่อาจไม่ทนทานมากนัก
- อาจไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานในออฟฟิศ
6. ZYXEL MG-108
แบรนด์และรุ่นสินค้า | ZYXEL MG-108 |
จำนวนช่องเชื่อมต่อ | 8 พอร์ต |
อัตราการส่งข้อมูล | 100, 1,000 และ 2,500 Mbps |
ปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด | 40 GB |
ปริมาณการประหยัดพลังงานสูงสุด | – |
ระยะเวลาการรับประกัน | 2 ปี |
สินค้าตัวนี้เป็น Switch hub ประสิทธิภาพสูง ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานกับอาคารสำนักงานขนาดเล็กถึงกลางโดยเฉพาะ เพราะถึงแม้จะมีช่องเชื่อมต่ออุปกรณ์เพียงแค่ 8 พอร์ต แต่กลับมีสเปกโดยรวมที่ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อและส่งข้อมูลกับอุปกรณ์ภายในระบบได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้อัตราการส่งข้อมูลสูงสุด 2,500 Mbps หรือ 2.5 GbE ซึ่งสามารถรองรับปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุดได้มากถึง 40 GB ที่สำคัญในระหว่างการทำงานยังลดเสียงรบกวนได้ดีอย่างยอดเยี่ยม และจัดการความร้อนได้อย่างมีคุณภาพ จากระบบระบายอากาศที่ถูกติดตั้งมาให้ภายในอีกด้วย
- การรับประกันสินค้า 2 ปี
- ความเร็วการส่งข้อมูลสูงสุด 2,500 Mbps
- รองรับปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด 40 GB
- จำนวนช่องเชื่อมต่อทั้งหมด 8 พอร์ต
- ระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูง
- จำนวนพอร์ตอาจน้อยเกินไปสำหรับออฟฟิศขนาดใหญ่
- ขนาดอุปกรณ์ที่ใหญ่เป็นพิเศษ
7. Mercusys MS105G
แบรนด์และรุ่นสินค้า | Mercusys MS105G |
จำนวนช่องเชื่อมต่อ | 8 พอร์ต |
อัตราการส่งข้อมูล | 10, 100 และ 1,000 Mbps |
ปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด | – |
ปริมาณการประหยัดพลังงานสูงสุด | 82% |
ระยะเวลาการรับประกัน | 1 ปี |
Mercusys MS105G เป็นหนึ่งในสินค้าที่ถูกออกแบบภายนอกมาอย่างน่าสนใจ ด้วยรูปลักษณ์ที่หรูหราและดูทันสมัย ในขณะที่องค์ประกอบของการใช้งานทั้งหมด ก็นับว่ามีการออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ใช้งานกับเครือข่ายของออฟฟิศขนาดมาตรฐานได้อย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นจากจำนวนช่องเชื่อมต่อทั้งหมด 8 พอร์ต หรือแม้แต่การรองรับความเร็วอัตราการส่งข้อมูลสูงสุด 1,000 Mbps ไปจนถึงการรองรับการใช้งานอินเตอร์เฟสแบบ MDIX ที่มีประสิทธิภาพในการรับข้อมูลสูงมากก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้จะมีคุณสมบัติในการจัดการทรัพยากรที่ยอดเยี่ยม แต่ตัวอุปกรณ์ก็ยังถูกออกแบบมาให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าปกติถึง 82% อีกด้วย
- รองรับการเชื่อมต่อผ่านอินเตอร์เฟส MDIX
- การประหยัดพลังงานสูงกว่าปกติถึง 82%
- การรับประกันสินค้า 1 ปี
- การออกแบบที่หรูหราและทันสมัย
- ระบบการทำงานที่เงียบมากเป็นพิเศษ
- อัตราการส่งข้อมูลอาจต่ำไปสำหรับการใช้งานกับบางระบบ
- ไม่แน่ชัดเรื่องปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด
8. ZYXEL GS1900-8
แบรนด์และรุ่นสินค้า | ZYXEL GS1900-8 |
จำนวนช่องเชื่อมต่อ | 8 พอร์ต |
อัตราการส่งข้อมูล | – |
ปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด | – |
ปริมาณการประหยัดพลังงานสูงสุด | – |
ระยะเวลาการรับประกัน | 3 ปี |
สำหรับ Switch hub ตัวต่อเป็นอีกหนึ่งตัวที่ดี สำหรับการติดตั้งและใช้งานในระบบออฟฟิศ ที่มีขนาดเล็กถึงขนาดกลางและมักจะต้องส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์อยู่เสมอ ด้วยคุณสมบัติ Smart managed ที่ทำให้การส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ 8 ตัวผ่านพอร์ตทุกช่อง สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและเป็นระบบ รวมถึงยังประหยัดพลังงานได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ โดยที่ตัวอุปกรณ์ยังคงถูกออกแบบมาให้รองรับเครือข่ายขั้นสูงต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น VLAN, QoS หรือ IGMP Snooping และอีกมากมาย ในขณะที่มาตรฐานความปลอดภัย IPV6 และ DoS prevention ก็ยังเป็นส่วนที่ช่วยให้การจัดการกับข้อมูลมีความปลอดภัยได้มากขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีความคุ้มค่าในการใช้งานที่สูงขึ้น จากการรับประกันสินค้าตลอด 3 ปีที่แถมมาให้ด้วยเช่นกัน
- รองรับมาตรฐานความปลอดภัยในการจัดการข้อมูล
- ระบบ Smart managed ในการจัดการข้อมูล
- การรับประกันสินค้า 3 ปี
- รองรับการใช้งานกับเครือข่ายขั้นสูงต่าง ๆ
- สามารถติตดั้งและใช้งานได้ทันทีโดยไม่วุ่นวาย
- ขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าสินค้าทั่วไป
- ไม่แน่ชัดเรื่องอัตราการส่งข้อมูล
9. D-LINK DES-F1006P-E
แบรนด์และรุ่นสินค้า | D-LINK DES-F1006P-E |
จำนวนช่องเชื่อมต่อ | 6 พอร์ต |
อัตราการส่งข้อมูล | 10 และ 100 Mbps |
ปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด | – |
ปริมาณการประหยัดพลังงานสูงสุด | – |
ระยะเวลาการรับประกัน | – |
D-LINK DES-F1006P-E เป็น Hub ขนาด 6 พอร์ต ที่มีการแบ่งแยกช่องส่งข้อมูลอย่างชัดเจนออกมาเป็น 2 ส่วน คือ POE จำนวน 4 ช่อง และ Uplink ขนาด 5 นิ้วจำนวน 2 ช่อง ทำให้คุณสามารถเลือกส่งข้อมูลตามความเหมาะสมของอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ซึ่งจากระบบโดยรวมจะถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับการส่งข้อมูลได้ที่ระยะสูงสุดกว่า 250 เมตร ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ ที่มีขนาดค่อนข้างกว้างเป็นพิเศษ ที่สำคัญด้วยการรองรับระบบ Smart Feature ก็ทำให้การใช้งานกับเครือข่ายระดับสูง สามารถทำได้อย่างลื่นไหลและมีเสถียรภาพด้วยเช่นกัน
- การส่งข้อมูลความเร็วสูงสุดในระยะ 10 เมตร
- สามารถทนทานกับสภาพแวดล้อมได้หลากหลาย
- ระยะการเชื่อมต่อและใช้งานระบบสูงสุด 250 เมตร
- การแบ่งแยกพอร์ตส่งออกข้อมูล
- รองรับการใช้งานกับเครือข่ายคุณภาพสูง
- ไม่เหมาะสำหรับการติดตั้งบนผนัง
- อัตราการส่งข้อมูลสูงสุดค่อนข้างต่ำ
10. ZYXEL XGS1250-12
แบรนด์และรุ่นสินค้า | ZYXEL XGS1250-12 |
จำนวนช่องเชื่อมต่อ | 8 พอร์ต |
อัตราการส่งข้อมูล | 100, 1,000, 2,500, 5,000 และ 10,000 Mbps |
ปริมาณการส่งข้อมูลสูงสุด | – |
ปริมาณการประหยัดพลังงานสูงสุด | – |
ระยะเวลาการรับประกัน | 2 ปี |
Switch hub ยี่ห้อไหนดี รุ่นสุดท้ายเป็น Switch hub ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในบทความนี้ ซึ่งมาพร้อมคุณสมบัติในการใช้งานที่ยอดเยี่ยมมากมาย ทั้งการแบ่งแยกพอร์ตจำนวน 8 ช่อง ให้สามารถทำความเร็วในการใช้งาน ได้อย่างเหมาะสมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน โดยจากทั้งหมดนั้นจะมี 3 ช่อง ที่ทำความเร็วการส่งข้อมูลได้สูงสุดกว่า 10 Gbps จากการเป็นพอร์ตแบบ Multi-Gigabit ทำให้การส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ในระบบ จะทำได้ยอดเยี่ยมและดีที่สุดสำหรับทุกระบบ และเพื่อให้ตัวอุปกรณ์สามารถรองรับการทำงานของระบบ ที่จะต้องใช้งานทรัพยากรสูงได้อย่างเพียงพอ อีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญของรุ่นนี้ จึงยังมีในเรื่องของระบบระบายความร้อน ที่ทำได้ดีและส่งเสียงที่เบาเป็นพิเศษ จาก Smart fan ภายในด้วยในเวลาเดียวกัน
- จำนวนช่องเชื่อมต่อ 8 ช่อง
- ระบบไฟสำหรับบอกความเร็วการส่งข้อมูลของแต่ละช่อง
- Smart Fan สำหรับการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม
- การรองรับการส่งข้อมูลสูงสุด 10 Gbps
- การรับประกันสินค้า 2 ปี
- ใช้พลังงานโดยรวมค่อนข้างสูง
- ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานภายในบ้านทั่วไป
วิธีเลือกซื้อ Switch hub ยี่ห้อไหนดี
เลือกจากความเร็วการส่งข้อมูล
สิ่งที่ต้องตรวจสอบเป็นเรื่องแรกในการเลือกซื้อ Switch hub คือ ความเร็วในการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ในระบบ ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำงาน และระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการส่งข้อมูล ทำให้มีผลอย่างมากสำหรับคนที่ใช้งานอุปกรณ์ตัวนี้ ในการเชื่อมต่อเครือข่ายกับการส่งข้อมูลขนาดใหญ่ โดยในการส่งข้อมูลที่อุปกรณ์ทั่วไปจะรองรับได้นั้น มักจะอยู่ในระดับ 10, 100 และ 1,000 Mbps เป็นต้นไป และความเร็วนั้นจะมีความแตกต่างกันออกไปตามมาตรฐานของพอร์ต ที่ถูกเลือกใช้งานสำหรับแต่ละช่อง หมายความว่าในอุปกรณ์ตัวเดียว เราจึงจะต้องพิจารณาความเร็วให้เหมาะสม
สำหรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่จะต้องใช้ความเร็วการรับ-ส่งข้อมูลที่หลากหลายด้วยเช่นกัน ซึ่งการเลือกซื้อ Switch hub ให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ากับระบบการใช้งานมากที่สุด คุณจะต้องตรวจสอบว่าอินเทอร์เน็ตของคุณ มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดระดับใด แล้วจึงไปเลือกรุ่นที่รองรับการทำความเร็วของเครือข่ายในระดับนั้น เพื่อให้สามารถประหยัดเวลาในการส่งข้อมูล โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างดีที่สุด ส่วนตัวเลือกของความเร็วการส่งข้อมูลในปัจจุบัน ระดับสูงสุดที่เราจะสามารถพบเห็นได้ ก็คือ 10 Gbps หรือเปรียบเทียบได้เป็น 10,000 Gbps แต่ก็ยังมีบางรุ่นที่เป็นตัวเลือกของรุ่นความเร็วระดับสูง ที่มีประสิทธิภาพการส่งข้อมูลลดลงไปเล็กน้อยตามราคาด้วยเช่นกัน
เลือกจากจำนวนพอร์ต
จำนวนพอร์ตในการเชื่อมต่อกับ Switch hub ก็ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่เรามองข้ามไปไม่ได้ หากต้องการให้สามารถใช้งานตัวอุปกรณ์กับเครือข่ายของคุณ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากในแต่ละพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือออฟฟิศก็ตาม จะมีการติดตั้งอุปกรณ์ภายในระบบ ที่มีจำนวนแตกต่างกันออกไป ทำให้คุณจะต้องเลือกอย่างเหมาะสมและเพียงพอ เพื่อให้อุปกรณ์ทุกตัวสามารถเชื่อมต่อ และรองรับการส่งข้อมูลระหว่างกันได้ภายในตัวเดียว เนื่องจากเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากและซับซ้อน หากคุณจะต้องเชื่อมต่อ Hub หลาย ๆ ตัวเข้าสู่ระบบเดียวกัน เพื่อใช้สำหรับการถ่ายโอนข้อมูล และในบางครั้งก็อาจทำให้เกิดความเสียหายกับข้อมูล หรือทำให้ระบบนั้น ๆ ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดอีกด้วย ส่วนเรื่องของจำนวนพอร์ตและการเลือกให้ดีที่สุดนั้น คุณควรเผื่อจำนวนเอาไว้เล็กน้อย
สำหรับกรณีที่คุณต้องการเพิ่มเติมอุปกรณ์เข้าสู่ระบบในอนาคต เพราะจะทำให้คุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณืเข้าสู่ระบบได้ในทันที จากการที่ตัวเลือกส่วนใหญ่มาพร้อมระบบ Plug and Play ที่ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อและใช้งานได้โดยไม่ต้องติดตั้งหรือดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ในการใช้งานอยู่แล้วนั่นเอง อย่างไรก็ตามหากคุณไม่รู้ว่าควรจะต้องซื้ออุปกรณ์ ที่มีช่องเชื่อมต่อหรือพอร์ตในจำนวนเท่าใด เราก็ขอแนะนำว่าสำหรับการใช้งานเบื้องต้น การเลือกรุ่นที่มี 5 พอร์ตสำหรับบ้านทั่วไป และ 8 พอร์ตสำหรับออฟฟิศขนาดเริ่มต้น ก็น่าจะรองรับการใช้งานของคุณได้อย่างเพียงพอแล้ว
เลือกจากความปลอดภัย
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กับเรื่องอื่น ๆ ในการใช้งานอุปกรณ์ในการรับ-ส่งข้อมูลภายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือ ความปลอดภัยในการดูแลระบบ ซึ่งจากการที่ Switch Hub มักจะเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการใช้งานในเชิงธุรกิจ หรือการใช้งานในองค์กรขนาดต่าง ๆ จึงทำให้เรื่องของความปลอดภัย กลายเป็นสิ่งที่คนเราจะต้องให้ความสนใจในการเลือกซื้อมากขึ่น ซึ่งในเบื้องต้นสิ่งที่คุณจะต้องพิจารณาก่อนการเลือกซื้อ คือ คุณจะต้องเลือกรุ่นที่รองรับคุณสมบัติด้านความปลอดภัยระดับสูงต่าง ๆ เช่น VLAN, ACLs หรือ SSL
โดยคำนึงจากระบบเครือข่ายของคุณในปัจจุบัน ว่ากำลังมีการใช้งานระบบใดบ้าง ในการดูแลความปลอดภัยของข้อมูล จากนั้นจึงเลือกรุ่นที่รองรับระบบนั้น ๆ ได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด เพื่อให้สามารถดูแลความปลอดภัยได้อย่างรอบด้าน และนอกจากจะต้องเลือกรุ่นที่มีความปลอดภัยสูงในเรื่องดังกล่าวแล้ว ก็ยังควรมองหาสินค้าที่มีการรับประกัน ทั้งในด้านของโครงสร้างการทำงาน และความผิดพลาดในส่วนของข้อมูลถูกแถมมาให้ด้วยเช่นกัน
Switch Hub คืออะไร
Switch Hub คือ อุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์แต่ละตัวเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถสื่อสารและส่งข้อมูลภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสถานที่หนึ่งได้ โดยตัวอุปกรณ์จะทำหน้าที่แยกแยะและส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ ที่เชื่อมต่อเข้ากับพอร์ตของ Switch ไปยังอุปกรณ์ที่เป็นจุดปลายทาง ด้วยการอ้างอิงการส่งข้อมูลที่เรียกว่า MAC address หรือ Layer 2 ในโมเดล OSI ซึ่ง Switch Hub จะมีความแตกต่างจาก Hub ทั่วไป ที่เป็นเพียงอุปกรณ์ส่งข้อมูลทุกข้อมูลไปยังทุกอุปกรณ์ในเครือข่าย และทำให้ข้อมูลมีโอกาสที่จะชนกัน จนเกิดปัญหาของการแข่งขันในการส่งข้อมูล และทำให้เครือข่ายทำงานช้าลง
ในทางตรงกันข้าม Switch ยังมีความสามารถในการตัดสินใจว่าข้อมูลควรส่งไปยังอุปกรณ์ใดบ้าง ส่งผลให้ช่วยลดปัญหาของการแข่งขันในการส่งข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ดังนั้น จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างมากในเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะกับองค์กร เพราะมีความสามารถในการส่งข้อมูลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงยังเป็นส่วนสำคัญในการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายต่าง ๆ ในเครือข่ายให้มีการสื่อสารกันระหว่างระบบได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยนั่นเอง
บทสรุปSwitch hub ยี่ห้อไหนดี
หากคุณต้องการเลือกซื้อ Switch hub ยี่ห้อไหนดี ที่มีราคาย่อมเยาและเหมาะสำหรับการใช้งานในบ้านมากที่สุด TP-Link LS1005G คือ ตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างมาก จากแบรนด์ TP-Link ซึ่งเราคุ้นเคยกันมาอย่างยาวนานในประเทศไทย ด้วยราคาที่สามารถเข้าถึงและจับต้องได้ง่าย แต่มีการรองรับความเร็วในการส่งข้อมูล และจำนวนของพอร์ตที่เพียงพอต่อระบบมาตรฐาน ที่สำคัญยังสามารถติดตั้งได้ง่าย โดยไม่จำเป็นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเชิง IT เลยแม้แต่น้อย แต่หากคุณมองหาสินค้าที่เหมาะสำหรับออฟฟิศ เราก็มีรุ่นที่น่าสนใจแนะนำไว้ให้กับคุณในส่วนที่ผ่านมาแล้วเช่นกัน และหากคุณกำลังมองหาอุปกรณ์อื่น ๆ ที่อาจใช้งานแทนกันได้ในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน เราก็มีบทความรวมสินค้า USB HUB และ SSD ที่ให้คุณสามารถเข้าไปเลือกอ่านและซื้อสินค้าได้ด้วยเช่นกัน