มือถือราคาไม่เกิน 3000 ยี่ห้อไหนดี

แนะนำ 5 อันดับ มือถือราคาไม่เกิน 3000 ยี่ห้อไหนดี ที่ตอบโจทย์พื้นฐานได้อย่างครบถ้วน ฉบับปี 2024

มือถือกลายเป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีที่จำเป็นที่ขาดไม่ได้ในยุคนี้ เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นอวัยวะที่ 33 ของคนเราเลยล่ะ โดยในช่วงไม่กี่ปีมานี้ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการแข่งขันของผู้ผลิตที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ผูกขาดแค่ไม่กี่รายเหมือนในอดีตทำให้เรามีตัวเลือกมากขึ้น ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

เรียกว่ามีตั้งแต่ระดับเริ่มต้น ระดับกลาง เช่น โทรศัพท์ vivo โทรศัพท์มือถือราคากลางๆไม่เกิน 5000 และระดับเรือธง และถือเป็นความโชคดีของผู้บริโภคอย่างเราที่แม้แต่มือถือราคาถูกก็สามารถใช้งานพื้นฐานต่างๆ หรือเล่นเกมเบาๆ ได้ ในบทความนี้ ชอบรีวิวจะมาแนะนำ 5 อันดับ มือถือราคาไม่เกิน 3000 ยี่ห้อไหนดี ลองดูว่ารุ่นไหนที่น่าจะเหมาะกับคุณที่สุด 

มือถือราคาไม่เกิน 3000 ยี่ห้อไหนดี ที่ตอบโจทย์พื้นฐานได้อย่างครบถ้วน

แนะนำ 5 อันดับ มือถือราคาไม่เกิน 3000 ฉบับปี 2024

มือถือราคาไม่เกิน 3000 บาท ที่เหมาะกับเรามากที่สุด คราวนี้เรามาดูกันเลยว่าจะมีรุ่นไหนหรือยี่ห้อใดบ้างที่น่าสนใจในช่วงราคานี้ 

1.  มือถือ realme C11

มือถือ realme C11

เริ่มต้นรายชื่อ มือถือราคาไม่เกิน 3000 ยี่ห้อไหนดี อันดับแรก กันด้วย realme C11 มือถือรุ่นขายดีจากค่ายมาแรงของวงการที่มีจุดขายในเรื่องของความคุ้มค่าและฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยในรุ่นนี้มากับดีไซน์อันทันสมัยน่าพกพา มี 2 สีให้เลือกคือ สีเขียว Mint Green และสีเทา Pepper Grey หน้าจอเป็นแบบ Mini-Drop Fullscreen ขนาด 6.5 นิ้ว สามารถแบ่งหน้าจอในการใช้งานได้ มีระบบ App Cloner สำหรับใช้ 2 บัญชีในเครื่องเดียว และ AI Facial Unlock ปลดล็อคด้วยใบหน้า 

realme C11 ขับเคลื่อนการทำงานด้วยชิปเซ็ต MediaTek Helio G35 ความเร็วอยู่ที่ 2.0 GHz มี RAM ขนาด 2 GB ความจุภายในเครื่อง 32 GB เพิ่มได้อีก 256 GB ผ่านการ์ด microSD รันบนระบบปฏิบัติการ Android 10 พร้อมครอบทับด้วย realme UI 1.0 มีฟีเจอร์ Game Assistant และ Game Space มาช่วยในการเล่นเกม กล้องหลังเป็นกล้องคู่ความละเอียด 13+2 ล้านพิกเซล มีโหมด Super Nightscape ถ่ายภาพกลางคืนได้ดีขึ้น กล้องหน้าให้มา 5 ล้านพิกเซล พร้อม AI Beauty แบตเตอรี่ความจุถึง 5,000 mAh ใช้งานได้ยาวนานเต็มวัน ภาพรวมถือว่าคุ้มค่าสุดๆ 

จุดเด่น
  • หน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว ดีไซน์สวยงามทันสมัย 
  • ชิปเซ็ต MediaTek Helio G35 ประมวลผลได้น่าพอใจ
  • มีฟีเจอร์ Game Assistant และ Game Space สำหรับการเล่นเกม
  • ได้กล้องหลังเลนส์คู่ 13+2 ล้านพิกเซล 
  • แบตเตอรี่ความจุถึง 5,000 mAh ใช้งานได้ยาวนาน
จุดควรพิจารณา
  • รุ่นนี้ไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
  •  ยังไม่ได้ใช้งานพอร์ต USB Type-C

2. มือถือ Wiko Sunny5 Lite AF 

มือถือ Wiko

ต่อกันด้วย มือถือราคาไม่เกิน 3000 บาทในรุ่น Wiko Sunny5 Lite AF มือถือราคาประหยัดจากผู้ผลิตสัญชาติฝรั่งเศสที่เด่นในเรื่องของดีไซน์ ราคาที่คุ้มค่า สามารถใช้งานทั่วไปได้อย่างน่าพอใจ เหมาะกับการซื้อเป็นมือถือเครื่องแรกให้กับบุตรหลาน หรือซื้อเป็นเครื่องสำรอง รุ่นนี้มากับหน้าจอแบบ TN ขนาด 5.45 นิ้ว ความละเอียด 960×480 พิกเซล อัตราส่วน 18:9 ตัวเครื่องมี 3 สีคือ สีทอง สีเขียวมิ้นท์ และสีน้ำตาลเทา 

Wiko Sunny5 Lite AF ใช้ชิปเซ็ตแบบ quad-core จับคู่กับ RAM ขนาด 1 GB ความจุภายในเครื่อง 32 GB สามารถเพิ่มได้ด้วยการ์ด microSD อีก 32 GB แต่ถึงจะให้มาน้อยก็ใช้งานได้ค่อนข้างดีเพราะมากับระบบปฏิบัติการ Android 10 (Go edition) ด้านการถ่ายภาพมีกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล กล้องหลังให้มาเท่ากันที่ 5 ล้านพิกเซล พร้อมระบบออโต้โฟกัส แบตเตอรี่ความจุ 2,500 mAh มีระบบ AI Power ช่วยจัดการพลังงาน ใครหามือถือราคาประหยัดรุ่นนี้น่าจะตอบโจทย์ทีเดียว

จุดเด่น
  • ระบบปฏิบัติการ Android 10 (Go edition) ช่วยให้ใช้งานลื่นไหลขึ้น
  • รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด
  • ดีไซน์สวยงาม ราคาไม่แพง 
  • กล้องหลังมีระบบ Auto Focus 
  • เพิ่มความจำได้ 32 GB ด้วยการ์ด microSD
จุดควรพิจารณา
  • แบตเตอรี่ความจุแค่ 2,500 mAh
  • เหมาะกับการใช้งานพื้นฐานทั่วไปเท่านั้น 

 

3. มือถือ Infinix Smart5Pro (2GB+32GB)

มือถือ Infinix

 Infinix Smart5Pro มือถือราคาไม่เกิน 3000 บาท ของผู้ผลิตจากฮ่องกงที่นับวันจะยิ่งมาแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเปิดตัวมือแต่ละรุ่นออกมานั้นสเปคค่อนข้างโหดในราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะรุ่นนี้ที่แม้ค่าตัวจะเบาแต่คุณสมบัติต่างๆ นั้นค่อนข้างโดดเด่นเลยล่ะ มาพร้อมหน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.52 นิ้ว ความละเอียด HD+ ความสว่าง 500 nits ใช้งานกลางแจ้งได้น่าพอใจ ตัวชิปเซ็ตให้มาเป็น Unisoc SC9863A ที่ทำงานร่วมกับ RAM ขนาด 2 GB ความจุภายในเครื่องที่ 32 GB และยังเพิ่มได้อีกถึง 256 GB ผ่านการ์ด micro SD 

Infinix Smart5Pro มีกล้องหน้า AI Super Clear ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กล้องหลังเป็นกล้องคู่ที่ประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล มีระบบออโต้โฟกัส และเลนส์ QVGA รุ่นนี้ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11 (Go edition) ครอบทับด้วย XOS 7.6 จุดเด่นที่สุดคงต้องยกให้กับแบตเตอรี่สุดอึดถึง 6,000 mAh เรียกว่าใช้งานแบบลืมชาร์จ ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 4G LTE, Wi-Fi 802.11 a/b/g/n, Bluetooth 4.2 และรองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด มีให้เลือกในสีเขียว สีน้ำเงิน สีดำ และสีทองแดง 

จุดเด่น
  • ดีไซน์สวยงามทันสมัย ราคาไม่แพง
  • หน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.52 นิ้ว ความละเอียด HD+
  • ระบบปฏิบัติการ  Android 11 (Go edition) ที่ไม่หนักเครื่อง
  • กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ QVGA 
  • แบตเตอรี่ความจุถึง 6,000 mAh
จุดควรพิจารณา
  • ชาร์จแบตเตอรี่ได้ไม่เร็วนัก
  • ถ่ายภาพกลางคืนได้ไม่ดี
  • ยังใช้พอร์ต micro USB 

 

 

4. มือถือ Nokia C10 (1/32GB)

มือถือ Nokia C10

หากคุณกำลังมองหา มือถือราคาไม่เกิน 3000 ยี่ห้อไหนดี จากแบรนด์คุณภาพที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน Nokia C10 คือตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยมากับดีไซน์ที่เรียบหรูแต่งานประกอบดีมีมาตรฐานไม่เสียชื่อแบรนด์ระดับตำนาน รุ่นนี้ได้หน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD ขนาด 6.52 นิ้ว ความละเอียด HD+ แบบมีติ่งหยดน้ำสำหรับติดตั้งกล้องหน้า มี 2 สีคือสีดำ และสีม่วง ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 11 Go Edition  ที่ไม่หนักเครื่องและดูสบายตา 

ขุมพลังของเจ้า Nokia C10 เป็นชิปเซ็ต Unisoc SC7331E ที่ทำงานร่วมกับ RAM ขนาด 1 GB หรือ 3 GB ความจุภายในเครื่อง 32 GB สามารถเพิ่มได้ด้วยการ์ด microSD สูงสุดถึง 256 GB สเปคนี้เอามาใช้เล่นเกมเบาๆ คลายเครียดได้ ส่วนกล้องถ่ายรูปนั้นทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังมีความละเอียดเท่ากันคือ 5 ล้านพิกเซล แบตเตอรี่ให้มา 3,000 mAh เป็นแบบที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ และถึงจะดูว่าให้มาน้อยแต่กับการใช้งานทั่วไปสามารถใช้ได้แบบเต็มวันเพราะค่ายนี้ขึ้นชื่อเรื่องแบตอึดอยู่แล้ว รุ่นนี้ยังมีการอัปเดต Security Patch ให้นาน 2 ปีอีกด้วย  

จุดเด่น
  • หน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.52 นิ้ว 
  • ระบบปฏิบัติการ Android 11 Go Edition ใช้ง่าย ไม่หนักเครื่อง 
  • ชิปเซ็ต Unisoc SC7331E ใช้งานทั่วไปได้ดี 
  • กล้องหน้าและกล้องหลังมีไฟแฟลช
  • แบตเตอรี่ 3,000 mAh แต่ใช้ได้ยาวนานเต็มวัน
จุดควรพิจารณา
  • ฝาหลังเปื้อนรอยนิ้วมือได้ง่าย
  • กล้องหลังไม่มีระบบออโต้โฟกัส
  • ไม่เหมาะกับการเล่นเกมหนักๆ

5. มือถือ Xiaomi Redmi 9A

มือถือ Xiaomi

ปิดท้ายรายชื่อ มือถือราคาไม่เกิน 3000 ยี่ห้อไหนดี กันด้วย Xiaomi Redmi 9A  มือถือสุดคุ้มอีกรุ่นที่ยากจะปฏิเสธ เพราะในราคานี้สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างครบครัน มาพร้อมหน้าจอแบบ IPS LCD ขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียด HD+ ดีไซน์ DotDrop หรือมีติ่งบนหน้าจอสำหรับติดตั้งกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล กล้องหลัง AI ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล มีให้เลือกในสี Sky Blue, Peacock Green และ Granite Gray 

Redmi 9A ใช้พลังงานจากชิปเซ็ต  MediaTek Helio G25 จับคู่กับ RAM ขนาด 2 GB ความจุภายในเครื่อง 32 GB แต่เพิ่มได้สูงสุดถึง 512 GB ด้วยการ์ด microSD ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย MIUI 12 รองรับการเชื่อมต่อ4G LTE, Wi-Fi 802.11 b/g/n 2.4GHz, Bluetooth 5.0 แบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh ที่ช่วยให้สามารถใช้งานได้เต็มวัน 

จุดเด่น
  • หน้าจอแบบ IPS LCD ขนาด 6.53 นิ้ว 
  • เพิ่มความจุได้สูงสุดถึง 512 GB ด้วยการ์ด microSD
  • ชิปเซ็ต  MediaTek Helio G25 ใช้งานทั่วไปได้ดี 
  • ดีไซน์สวยงามในราคาที่ไม่แพง
  • แบตเตอรี่ความจุถึง 5,000 mAh 
จุดควรพิจารณา
  • ชาร์จแบตเตอรี่ได้ค่อนข้างช้า
  • ไม่เหมาะกับการเล่นเกมหนักๆ 

เคล็ดลับในการเลือก มือถือราคาไม่เกิน 3000 ยี่ห้อไหนดี ให้ได้รุ่นที่ลงตัวที่สุด 

มือถือราคาไม่เกิน-3000-ยี่ห้อไหนดี

แม้จะเป็นมือถือราคาไม่เกิน 3000 บาท แต่เนื่องจากมีหลายรุ่นหลายยี่ห้อการจะเลือกรุ่นไหนเอามาไว้ใช้งานนั้นจึงต้องพิจารณาจากหลายส่วนด้วยกัน เพื่อให้ได้รุ่นที่ดีที่สุดหรือไม่ก็เหมาะสมกับการใช้งานของเรา ซึ่งสิ่งที่เราต้องพิจารณาในการเลือกซื้อนั้นประกอบไปด้วยเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. งบประมาณ

เมื่อพูดถึง มือถือราคาไม่เกิน 3000 บาท ในที่นี้เราหมายถึงราคาตั้งแต่ 2,000 กว่าบาท ไปจนถึง 3,000 ต้นๆ ซึ่งราคาที่ต่างกันไม่กี่ร้อยอาจหมายถึงคุณสมบัติที่แตกต่างกันอยู่พอสมควร เพราะหากเป็นยี่ห้อใหม่ที่เน้นกลยุทธ์ด้านราคาก็มีแนวโน้มที่จะให้สเปคมาสูงกว่า แต่ใช่ว่าราคาถูกกว่าแล้วจะใช้ไม่ดีเพราะเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ถือว่าก้าวทันกันได้อย่างรวดเร็ว พอกำหนดราคาได้แล้วเราค่อยไปดูองค์ประกอบอื่นๆ ร่วมด้วย 

2. หน่วยความจำ (RAM)

RAM (Random Access Memory) คือหน่วยความจำประเภทหนึ่งที่ใช้ในการเก็บข้อมูลชั่วคราว อธิบายง่ายๆ ว่าพอเราเปิดมือถือหรือใช้งานแอพพลิเคชันต่างๆ หน่วยความจำนี้ก็จะถูกใช้ แต่พอเราปิดแอพข้อมูลที่เก็บอยู่ใน RAM ก็จะถูกลบออกไป วนไปเรื่อยๆ

ทุกครั้งที่ใช้งาน ยิ่ง RAM ในมือถือเยอะก็ยิ่งสามารถทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่ง สำหรับ มือถือราคาไม่เกิน 3000 บาท นั้นมักมี RAM อยู่ที่ 1 GB ถึง 3 GB เหมาะกับการใช้งานพื้นฐานทั่วไป เช่น เล่นโซเชียลมีเดีย ดูคลิปวิดีโอ ฟังเพลง หรือเข้าเว็บ เป็นต้น 

3. พื้นที่เก็บข้อมูลภายในเครื่อง (ROM) 

เวลาที่เราจะซื้อมือถือสักเครื่องเอาไว้ใช้งาน มักจะได้ยินคนขายแนะนำว่ามือถือรุ่นนี้มี RAM และ ROM กี่ GB ซึ่งในส่วนของพื้นที่เก็บข้อมูลภายในเครื่องนั้น ถือเป็นส่วนสำคัญเพราะส่งผลโดยตรงกับการเก็บไฟล์หรือแอพพลิเคชันต่างๆ ที่เราดาวน์โหลดมาลงเครื่อง ถ้าพื้นที่เก็บข้อมูลน้อยก็ไม่สามารถเก็บคลิป หรือภาพถ่าย

รวมถึงดาวน์โหลดแอพมาใช้ได้เยอะ ต้องลบของเก่าออกก่อนจึงจะมีพื้นที่ว่าง หลายคนน่าจะเคยเห็นข้อความแจ้งเตือนว่าหน่วยความจำเต็มไม่สามารถถ่ายรูปถ่ายมาบ้าง สำหรับ มือถือราคาไม่เกิน 3000 บาท ในปัจจุบันมักจะมี ROM อยู่ที่อย่างน้อย 16 GB หรือ 32 GB และบางรุ่นอาจสามารถเพิ่มได้ด้วยการ์ด microSD 

4. ชิปเซ็ตประมวลผล

ข้อต่อมาที่เราต้องพิจารณาในการเลือกซื้อมือถือแต่ละรุ่นก็คือ ชิปเซ็ตประมวลผลซึ่งเป็นตัวกำหนดความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ โดยขึ้นอยู่กับ RAM และ ROM ที่มีขนาดสอดคล้องกันด้วย

โดยหากเป็นมือถือราคาไม่เกิน 3000 บาท มักจะมากับชิปเซ็ตในระดับเริ่มต้นของค่ายต่างๆ ประกอบด้วย Snapdragon จากทางบริษัท Qualcomm, Helio จากทาง บริษัท MediaTek, Exynos ของบริษัท Samsung และ Kirin ของ HUAWEI เป็นต้น ทั้งนี้เราสามารถสังเกตประสิทธิภาพได้จากความเร็วในการประมวลผลว่าอยู่ที่กี่ GHz โดยไม่ควรต่ำกว่า 1.8GHz 

5. ดีไซน์และขนาดและความละเอียดของหน้าจอแสดงผล

เชื่อว่าใครก็อยากได้มือถือสวยๆ เอาไว้ใช้งาน ดีไซน์การออกแบบจึงเป็นตัวกำหนดได้อย่างหนึ่งว่ามือถือรุ่นไหนที่ถูกใจเรามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นขนาด น้ำหนัก สีสัน ความบางของหน้าจอ การวางตำแหน่งกล้องถ่ายรูป เช่น บางคนอาจจะไม่ชอบหน้าจอที่มีรอยบากเพราะรู้สึกไม่สบายตาเวลาใช้งาน

และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือขนาดของหน้าจอ โดยในปัจจุบันมือหน้าจอของมือถือนั้นมีตั้งแต่ 6 นิ้ว ไปจนถึงเกือบ 7 นิ้วเลยทีเดียว ส่วนในกลุ่มมือถือราคาไม่เกิน 3000 บาท ความละเอียดของหน้าจอจะอยู่ที่ HD (1280 x 720 พิกเซล) หรือ HD+ (1,600 x 900 พิกเซล) เป็นส่วนใหญ่ 

มือถือราคาไม่เกิน 3000

6. กล้องถ่ายรูป

ข้อต่อมาที่เชื่อว่าหลายคนต้องพลิกดูก่อนเลยก็คือมือถือรุ่นที่ตัวเองสนใจนั้นมากับกล้องถ่ายรูปกี่ตัวและความละเอียดเท่าไหร่ โดยในกลุ่ม มือถือราคาไม่เกิน 3000 ยี่ห้อไหนดี นั้นกล้องหน้ามักจะเป็นกล้องเดี่ยวความละเอียดอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล หรือ 8 ล้านพิกเซล

ส่วนกล้องหลังนั้นบางรุ่นอาจจะได้ถึงกล้องเลนส์คู่เลยก็ได้ ซึ่งกล้องหลักนั้นมักจะมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องรองอยู่ที่ราว 2 ล้านพิกเซล หรือ 5 ล้านพิกเซล ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อเป็นหลัก ส่วนฟีเจอร์การถ่ายภาพนั้นก็ต้องดูรายละเอียดเป็นรุ่นๆ ไปว่ามีอะไรบ้าง แต่ในปัจจุบันก็มีแอพถ่ายรูปมาให้เราได้ดาวน์โหลดมาใช้งานกันมากมาย 

7. ความจุแบตเตอรี่

ในแต่ละวันเราหยิบมือถือขึ้นมาใช้จนนับครั้งไม่ได้ ทั้งกับการติดต่อสื่อสารกับครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เล่นแอพพลิเคชัน ดูคลิปวิดีโอ ส่องโซเชียลมีเดีย ทำธุรกรรมทางการเงิน  หรือใช้ถ่ายภาพและคลิปวิดีโอ

ซึ่งแต่ละอย่างล้วนใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ทั้งสิ้น ทำให้ความจุแบตเตอรี่เป็นอีกเรื่องที่เราต้องพิจารณา เพราะถ้าความจุน้อยก็อาจจะไม่เพียงพอกับความต้องการใช้งาน ทั้งนี้อย่างน้อยควรมีความจุ 3,500 mAh ถึง 5,000 mAh เพื่อให้สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวันโดยไม่ต้องพกพาแบตเตอรี่สำรอง 

8. ฟังก์ชันการใช้งานหรือคุณสมบัติเด่น 

แม้จะเป็นมือถือราคาไม่เกิน 3000 บาท แต่ด้วยการแข่งขันที่สูงทำให้ผู้ผลิตแต่ละรายก็ขนเอาสเปคใส่มาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในราคาที่วางขาย แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องต้นทุนจึงอาจจะไม่สามารถทำให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์ได้

แต่ละรุ่นจึงมักมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป เช่น เน้นแบตเตอรี่ที่มีความจุสูง, เน้นหน้าจอที่มีขนาดใหญ่, เน้นการถ่ายภาพ, มีโหมดเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม, ให้พื้นที่เก็บข้อมูลเยอะ ซึ่งก็มีส่วนช่วยทำให้เราสามารถเลือกใช้งานได้ตรงตามความต้องการด้วย 

บทสรุป มือถือราคาไม่เกิน 3000 ยี่ห้อไหนดี ที่น่าใช้ ฉบับปี 2024

มือถือราคาไม่เกิน 3000 ยี่ห้อไหนดี เพราะแต่ละรุ่นที่เราเลือกมานั้น ต่างก็มีจุดเด่นในตัวเอง โดยทุกรุ่นสามารถตอบโจทย์การใช้งานพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้อย่างน่าพอใจ 

โดยหากจะให้เลือกมาสักรุ่นใน 5 รุ่นนี้ เราเลือกมือถือจากแบรนด์มือถือจาก realme C11 ที่ในช่วงราคาเดียวกันมีสเปคที่โดดเด่นที่สุดก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์การออกแบบ กล้องถ่ายรูป ชิปเซ็ตที่ใช้ ฟังก์ชันการทำงาน และความจุของแบตเตอรี่ อย่างไรก็ตามการจะเลือกมือถือรุ่นไหนยังขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่างตามที่เราบอกเอาไว้ในตอนต้น ลองพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งว่ารุ่นไหนที่ลงตัวกับคุณมากที่สุด

Similar Posts