เครื่องแปลภาษา ยี่ห้อไหนดี

เสน่ห์อีกประเภทของคนแต่ละชนชาตินั่นคือการมีภาษาเป็นของตนเอง ความสละสลวยที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่เมื่อต้องมีการสานสัมพันธ์ของคนประเทศต่าง ๆ ทำให้การเรียนรู้ภาษาเป็นสิ่งสำคัญ

ความโชคดีของคนยุคนี้ที่ต้องใช้ภาษาต่างชาติบ่อยคงหนีไม่พ้น “เครื่องแปลภาษาอัจฉริยะ” เทคโนโลยีใหม่ ที่ช่วยให้คุณไม่ต้องเปิด Dictionary หาคำศัพท์ทีละคำอีกต่อไป อยากรู้จักคำไหน แปลความได้ทันที ใครที่ต้องใช้ภาษาอื่นอยู่บ่อย วันนี้ชอบรีวิว ได้นำรีวิว เครื่องแปลภาษา ยี่ห้อไหนดี ใช้งานได้อย่างครบครัน 

อันดับ 1
เครื่องแปลภาษา CheetahTALK AI Voice Translator
9.7
  • มีน้ำหนักเบามาก ขนาดกะทัดรัด พกพาง่าย
  • คลังภาษามาจาก Microsoft
  • แบตเตอรี่ Standby ได้ยาวนาน 180 วัน
  • แปลแบบเรียลไทม์ รวดเร็ว เข้าใจง่าย
  • กันน้ำได้ถึงระดับ IP54
อันดับ 3
เครื่องแปลภาษา F1 Pro
9.3
  • การแปลได้ถึง 3 รูปแบบ
  • มีโหมดออฟไลน์แปลได้ถึง 12 ภาษา
  • กล้องชัด 5 ล้านพิกเซล ถ่ายรูปแล้วแปลออกมาแม่นยำ
  • รองรับภาษาได้เยอะถึง 88 ภาษา
  • มีการอัปเดตศัพท์ ประโยคใหม่ตลอด
อันดับ 2
เครื่องแปลภาษา T8 Pro
9
  • รองรับภาษาได้เยอะมากถึง 102 ภาษาทั่วโลก
  • ใช้งานได้แบบ 3 in 1 แปลภาษารอบตัวง่ายดาย
  • พูดโต้ตอบได้ทั้ง 2 ทาง ทันที เข้าใจรวดเร็ว
  • เมนูปรับเป็นภาษาไทยเพื่อความสะดวกในการใช้งาน

เครื่องแปลภาษา ยี่ห้อไหนดี

รีวิว เครื่องแปลภาษา ยี่ห้อไหนดี ใช้งานได้ครบครัน

ในยุคที่โลกมีขนาดเล็กลงทุกวัน การเข้าใจแค่ภาษาถิ่นของตนเองไม่เพียงพอ ยิ่งใครที่ต้องทำงานหรือมักติดต่อกับชาวต่างชาติบ่อย ทว่าตนเองไม่ได้มีความเก่งกาจด้านภาษามากนัก การรีวิว เครื่องแปลภาษา ยี่ห้อไหนดี ที่กำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ น่าจะช่วยเพิ่มตัวเลือกในกาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นภาษาไหนเป็นหลัก หรือต้องการแบบครบวงจร เลือกด้วยตนเองเลย

1. เครื่องแปลภาษาอัจฉริยะ CheetahTALK AI Voice Translator

เครื่องแปลภาษา CheetahTALK

เริ่มต้นกันที่เครื่องแปลภาษา ยี่ห้อไหนดี กับเครื่องแปลภาษาที่การันตีด้วยยอดขายจาก Amazon สูงสุด ทำงานผ่านระบบ Microsoft AI ซึ่งเป็นฐานข้อมูลจากบริษัทระดับโลก แปลภาษารวดเร็วผ่านระบบเซิร์ฟเวอร์ Cloud เพียงแค่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน CheetahTALK ได้ทั้งระบบ iOS และ Android ก็เข้าถึงการแปลภาษาได้ทันใจ

แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน ใช้งานต่อเนื่อง สูงสุด 2 สัปดาห์ ระดับการกันน้ำ IP54 ในการแปลทำได้ 2 ภาษาแบบเรียลไทม์ ดีไซน์กะทัดรัด น่าใช้งาน

ถือเป็นเครื่องแปลภาษาที่จะช่วยให้คุณพบเจอกับเพื่อนใหม่ และเข้าใจด้านการสื่อสารภายในเวลาอันรวดเร็ว บริษัทผู้ผลิตระดับโลกพร้อมระบบการทำงานจาก Microsoft เชื่อถือได้จริง ภาษาไหนก็ไม่ใช่ปัญหาน่ากังวลอีกต่อไป

คุณสมบัติทั่วไป

  • รองรับได้ 42 ภาษา
  • โหมด Standby ยาวนาน 180 วัน
  • น้ำหนัก 40 กรัม
จุดเด่น
  • มีน้ำหนักเบามาก ขนาดกะทัดรัด พกพาง่าย
  • คลังภาษามาจาก Microsoft
  • แบตเตอรี่ Standby ได้ยาวนาน 180 วัน
  • แปลแบบเรียลไทม์ รวดเร็ว เข้าใจง่าย
  • กันน้ำได้ถึงระดับ IP54
จุดควรพิจารณา
  • ต้องมีการใช้งานกับแอปพลิเคชันมือถือเป็นหลัก
  • ขณะพูดต้องใช้เสียง ใช้คำให้ชัดเจน
  • ไม่มีหน้าจอ ได้ยินเฉพาะเสียงพูด

วิดีโอเกี่ยวกับการใช้งาน

2. เครื่องแปลภาษาอัจฉริยะ F1 Pro

เครื่องแปลภาษา F1 Pro

เครื่องแปลภาษาอัจฉริยะ ยี่ห้อต่อมาขอแนะนำเลย ใช้งานได้แบบ 3 in 1 แปลจากเสียงโดยตรง กล้องถ่ายภาพ แล้วการแปลภาษา หรือจะอัดเสียงเพื่อแปลก็ตามสะดวก เฉพาะตัวภาพถ่ายแปลได้ถึง 44 ภาษา กล้องคมชัด 5 ล้านพิกเซล มีความแม่นยำสูง

กรณีใช้เสียงเมื่อพูดแล้วแปลออกทันที มีโหมดสร้างกลุ่มสนทนา โหมดเรียนภาษา การใช้งานแบตเตอรี่ใช้ต่อเนื่องได้สูงสุด 8 ชม. แม้ไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็แปลแบบออฟไลน์ได้ถึง 12 ภาษา พร้อมการอัปเดตศัพท์ ประโยคใหม่ให้ตลอด

ใครที่ต้องเดินทางบ่อย หรือไม่ถนัดภาษาแนะนำว่าใช้งานเครื่องนี้จะช่วยให้ภาษารอบตัวของคุณเป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าเดิม จะถ่ายภาพ พูด หรืออัดเสียง ก็สะดวกมาก ไม่ต้องเสียเวลาแปลเองให้ยุ่งยาก พกพาง่าย กะทัดรัด น้ำหนักเบา

คุณสมบัติทั่วไป 

  • รองรับได้ 88 ภาษา
  • โหมด Standby ยาวนาน 8 วัน
  • น้ำหนัก 80 กรัม
จุดเด่น
  • ใช้งานในการแปลได้ถึง 3 รูปแบบ
  • มีโหมดออฟไลน์แปลได้ถึง 12 ภาษา
  • กล้องชัด 5 ล้านพิกเซล ถ่ายรูปแล้วแปลออกมาแม่นยำ
  • รองรับภาษาได้เยอะถึง 88 ภาษา
  • มีการอัปเดตศัพท์ ประโยคใหม่ตลอด
จุดควรพิจารณา
  • ใช้งานต่อเนื่องได้น้อยเพียง 8 ชม.
  • โหมด Standby อยู่ได้ไม่เกิน 8 วัน
  • ระบบออฟไลน์พูดภาษาไทยแล้วแปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้

3. เครื่องแปลภาษาอัจฉริยะ T8 Pro

เครื่องแปลภาษา T8

สำหรับเครื่องแปลภาษารุ่นนี้รองรับได้ถึง 102 ภาษา แบบ 3 in 1 ไม่ว่าจะเป็นในการแปลภาษาผ่านเสียง การถ่ายภาพ และการอัดเสียง พิเศษกับระบบออฟไลน์ที่ยังแปลได้ถึง 8 ภาษา พูดเพื่อทำการโต้ตอบได้ 2 ทาง แม้ใช้คนละภาษาก็ตาม กล้องคมชัด 5 ล้านพิกเซล

เมนูปรับเป็นภาษาไทยได้ การใช้งานสะดวก หน้าจอสี กระตุ้นความสนุกในการแปลภาษา ในกรณีที่ออนไลน์แล้วมีสิ่งใหม่อัปเดตตัวโปรแกรมจะเพิ่มเติมข้อมูลให้ตลอดอีกด้วย

เป็นอีกรุ่นของเครื่องแปลภาษาที่เหมาะสมกับคนต้องพบเจอกับภาษาต่างประเทศรอบตัวอยู่บ่อยครั้ง ใช้งานแบบ 3 in 1 รองรับภาษาได้เยอะมาก เดินทางทั่วโลกไม่มีหวั่น แถมหน้าจอสีช่วยเพิ่มความสนุกในการเรียนรู้ ไม่น่าเบื่อด้วย

คุณสมบัติทั่วไป

  • รองรับได้ 102 ภาษา
  • โหมด Standby 8 วัน
  • น้ำหนัก 80 กรัม
จุดเด่น
  • รองรับภาษาได้เยอะมากถึง 102 ภาษาทั่วโลก
  • ใช้งานได้แบบ 3 in 1 แปลภาษารอบตัวง่ายดาย
  • พูดโต้ตอบได้ทั้ง 2 ทาง ทันที เข้าใจรวดเร็ว
  • เมนูปรับเป็นภาษาไทยเพื่อความสะดวกในการใช้งาน
  • มีการอัปเดตข้อมูลใหม่ให้ตลอดเมื่อออนไลน์
จุดควรพิจารณา
  • การใช้งานต่อเนื่องสั้นเพียง 8 ชม.
  • โหมด Standby ใช้งานติดต่อกันได้เพียง 8 วันเท่านั้น
  • โหมดออฟไลน์ภาษาน้อย และไม่มีภาษาไทย

4. เครื่องแปลภาษาอัจฉริยะ T2S 

เครื่องแปลภาษา T2S

เครื่องแปลภาษาที่เน้นความถนัดมือ พกพาง่าย เป็นการแปลภาษา แบบ 2 in 1 คือ เมื่อพูดแล้วตัวเครื่องจะแปลให้ทันที หรือบันทึกเสียงเพื่อให้แปลก็ได้เช่นกัน พูดตอบโต้ได้ทั้ง 2 ฝ่าย มีความแม่นยำในการแปล หน้าจอสีแบบสัมผัสขนาด 2.4 นิ้ว

ช่วยเพิ่มความสนุกในการเรียนรู้ แปลออนไลน์ง่าย ๆ สำหรับการใช้งาน เพียงแค่เชื่อมต่อ Wi-Fi พร้อมการอัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์ ภาษาให้อยู่เสมอ รองรับการใช้งานต่อเนื่องถึง 8 วัน

ใครที่อยากได้อุปกรณ์ดี ๆ ไว้ใช้งาน มีความแม่นยำในการแปลภาษา มีหน้าจอสีช่วยให้ไม่น่าเบื่อระหว่างใช้ และอัปเดตข้อมูลเพื่อประโยชน์ในอนาคตอยู่ตลอด ถือเป็นอีกรุ่นที่เหมาะกับคนที่ต้องอยู่กับภาษาต่างประเทศเป็นประจำ

คุณสมบัติทั่วไป

  • รองรับได้ 72 ภาษา
  • โหมด Standby 8 วัน
  • น้ำหนัก 80 กรัม
จุดเด่น
  • ขนาดกะทัดรัด พกพาง่าย ใช้งานได้ทุกที่
  • แปลได้อย่างรวดเร็วผ่านวิธีพูดคุยแบบตอบโต้ 2 ฝ่าย
  • หน้าจอสีแบบสัมผัสขนาด 2.4 นิ้ว
  • มีสีให้เลือกดำ ขาว เคฟล่า ม่วง
  • อัปเดตคำศัพท์ ประโยคใหม่ให้ตลอด
จุดควรพิจารณา
  • ใช้งานต่อเนื่องได้เพียง 6 ชม.
  • โหมด Standby ใช้งานติดต่อกันได้เพียง 8 วัน
  • ไม่สามารถใช้งานแบบออฟไลน์ได้

5. เครื่องแปลภาษาอัจฉริยะ iTran

เครื่องแปลภาษา iTran

ปิดท้ายกันที่เครื่องแปลภาษา ดีไซน์กะทัดรัด น้ำหนักเบา พกพาง่าย รองรับการแปลภาษา แบบอัตโนมัติ เมื่อพูดแล้วแปลได้ทันที ตัวเครื่องมีระบบ Auto Update อัปเดตภาษาใหม่และฟังก์ชันล่าสุดอยู่ตลอดผ่านหน้าจอขนาด 2 นิ้ว

ขนาดแบตเตอรี่ 1,000 mAh เข้าสู่โหมด Standby การใช้งานต่อเนื่องนานถึง 168 ชม. ใช้งานง่ายมากมีเพียง 3 ปุ่มให้กดเท่านั้น เชื่อมต่อ Wi-Fi มือถือได้อีกด้วย

ใครที่ต้องพบเจอกับชาวต่างชาติบ่อย หรือมีเรื่องต้องใช้งานภาษาต่างประเทศอยู่ประจำ การมีอุปกรณ์ชิ้นนี้พกติดตัวไว้ถือเป็นเรื่องดีมาก ด้วยขนาด น้ำหนักที่เหมาะสม จะใส่เอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ หรือช่องภายในเสื้อสูทก็ไม่มีปัญหา

คุณสมบัติทั่วไป

  • รองรับได้ 30 ภาษา
  • โหมด Standby 168 ชม.
  • น้ำหนัก 65 กรัม
จุดเด่น
  • ดีไซน์กะทัดรัด น้ำหนักเบามาก พกพาสะดวก
  • แปลอัตโนมัติ เมื่อพูดแล้วแปลทันที
  • อัปเดตภาษาและฟังก์ชันใหม่ตลอดผ่านระบบ Auto Update
  • โหมด Standby อยู่ได้นานถึง 168 ชม.
  • เชื่อมต่อ Wi-Fi มือถือเพื่อใช้งานได้เลย
จุดควรพิจารณา
  • รองรับภาษาได้น้อยเมื่อเทียบกับรุ่นอื่น
  • ใช้งานโหมดออฟไลน์ไม่ได้
  • ใช้งานต่อเนื่องได้เพียง 6 ชม.

รูปแบบการทำงานของเครื่องแปลภาษา

เครื่องแปลภาษา ยี่ห้อไหนดี 2021

1. ทำงานผ่านระบบออนไลน์

เครื่องแปลภาษาชนิดนี้จะต้องมีการเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว จุดเด่นคือ การอัปเดตภาษาและคำแปลใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ตลอดจากการออนไลน์และการใส่ข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ให้บริการได้เสมอ

2. ทำงานผ่านระบบออฟไลน์

เครื่องแปลภาษารูปแบบนี้ไม่ต้องทำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต มีการบันทึกคำศัพท์และประโยคที่มักถูกใช้งานบ่อย ๆ ลงไปในตัวเครื่องเรียบร้อย เมื่อเครื่องได้ยินเสียงที่มีความใกล้เคียงกับประโยคนั้นก็จะแปลออกมา สะดวกต่อการใช้งานในทุกพื้นที่

3. ทำงานทั้งระบบออนไลน์และออฟไลน์

เครื่องแปลภาษาประเภทนี้เป็นการนำเอา 2 ระบบมารวมกัน หากพื้นที่ไหนมีสัญญาเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็ใช้งานได้สะดวก แต่ถ้าเชื่อมต่อไม่ได้ก็ยังคงแปลตามปกติ ถือเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากสุด

เลือกซื้อเครื่องแปลภาษาอย่างไรให้เหมาะกับตนเอง

เครื่องแปลภาษา ยี่ห้อไหนดี

1. พิจารณาสถานการณ์ที่ใช้เป็นหลัก

การเลือกซื้อเครื่องแปลภาษา ต้องสังเกตตนเองก่อนว่าปกติแล้วมักใช้เครื่องแปลภาษาในสถานการณ์ใด หากต้องออกไปพบเจอชาวต่างชาติบ่อย ก็อาจเลือกระบบออนไลน์ล้วน แต่ถ้าไม่ค่อยได้ไปไหน เน้นการแปลภาษาจากหนังสือ ประโยคทางการตายตัว ไม่มีการพลิกแพลง ใช้แบบออฟไลน์จะประหยัดเงินกว่า หรือถ้าใช้ 2 ระบบร่วมกันก็จะดีมากเลย

2. ลักษณะการแสดงผล

เครื่องแปลภาษาแต่ละรุ่นมีการแสดงผลต่างกัน บางรุ่นมีหน้าจอแปลออกมาเป็นภาษาที่ต้องการ บางรุ่นใช้การพูด ควรรู้ว่าตนเองถนัดอ่านหรือฟังมากกว่าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อใช้งาน

3. ภาษาที่สามารถแปลได้

ส่วนใหญ่มักคิดว่าการมีเครื่องแปลภาษาเอาไว้แปลเฉพาะภาษาอังกฤษ ทว่ายังมีอีกหลายภาษาบนโลกที่บางคนต้องสื่อสาร เช่น ภาษาสเปน, อิตาลี, โปรตุเกส, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, รัสเซีย ฯลฯ ให้เลือกยี่ห้อที่มีภาษาเหมาะกับตนเอง ยิ่งมีหลายภาษายิ่งดีมาก

4. ฟังก์ชันอื่น ๆ น่าสนใจ

ปิดท้ายกันที่ลองดูฟังก์ชันของเครื่องแปลภาษารุ่นนั้น ๆ ดูก็ได้ว่ามีลูกเล่นอะไรน่าสนใจหรือไม่ เช่น การแปลศัพท์แสลง สามารถอัปเดตศัพท์ใหม่เพิ่มเติมได้ด้วยการพูด เป็นต้น

สรุป ควรเลือกซื้อ เครื่องแปลภาษา ยี่ห้อไหนดี

จากที่ได้ รีวิว เครื่องแปลภาษา ยี่ห้อไหนดี มาทั้งหมด 5 รุ่นนี้ เมื่อเทียบฟังก์ชัน คุณสมบัติ และความคุ้มค่าแล้ว ขอแนะนำเป็นเครื่องแปลภาษา CheetahTALK AI Voice Translator ในการแปลภาษาได้อย่างรวดเร็ว ผ่านระบบเซิร์ฟเวอร์ Cloud เพียงแค่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน CheetahTALK ระดับการกันน้ำ IP54 แปล 2 ภาษาแบบเรียลไทม์

แปลออกมาได้สูงสุดถึง 42 ภาษา ขนาดตัวเล็กกระทัดรัด พกพาสะดวก ผู้ผลิตระดับโลกพร้อมระบบการทำงานจาก Microsoft เรียกว่าน่าเชื่อถือมากๆเลยทีเดียว ใช้เป็นคู่หูในการเดินทางได้ทั่วโลก ตอบโจทย์คนที่ต้องใช้ภาษาต่างประเทศบ่อย ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา คนทำงานทุกอาชีพ

Similar Posts