ในปัจจุบันเทรนด์การทำงานแบบ Work From Home เริ่มได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในประเทศไทยเพิ่งมีรูปแบบการทำงาน Work From Home เป็นการทำงานจากที่บ้านหรือที่พักอาศัยเมื่อไม่นานมานี้ โดยเริ่มจากช่วงโรคระบาดโควิด-19 อย่างหนัก มีผู้ติดเชื้อในแต่ละวันสูง ซึ่งเริ่มกระบวนการ Work From Home ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นหลัก เพราะมีจำนวนประชากรเยอะที่สุดและต้องรักษาระยะห่างให้มากที่สุด
เมื่อเห็นว่าเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมีลัพธ์ที่ดี ผู้คนมีประสิทธิภาพในการทำงาน และลดเชื้อได้ จึงทำให้หลายๆจังหวัดเริ่มมาตรการทำงานแบบ Work From Home เช่นกัน ดังนั้นวันนี้เราจะมาแชร์ว่าการทำงาน Work From Home อย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และต้องมีอุปกรณ์อะไรบ้างที่ช่วยการทำงานให้สำเร็จ มาติดตามพร้อมๆกันเลย
การทำงานแบบ Work From Home คืออะไร?
Work From Home หรือตัวย่อ WFH คือการทำงานที่บ้านหรือที่พักอาศัย โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าสำนักงาน, บริษัท หรือออฟฟิศแต่อย่างใด เพราะเมื่อโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก หลายธุรกิจหลายองค์กรต้องมีการปรับตัวการทำงาน จึงจำเป็นต้องมีให้พนักงานทำงานที่บ้านหรือที่พักอาศัย ซึ่งสถานที่ทำงานของแต่ละคนจะกำหนดนโยบาย หรือแผนการทำงานว่า ควรทำงานที่บ้านสัปดาห์ละกี่ครั้งหรือเข้าออฟฟิศวันไหนบ้าง เป็นต้น เพื่อรักษาระยะห่าง และลดการแพร่เชื้อโควิด-19 นั่นเอง
Work From Home อย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
การทำงานแบบ Work From Home ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว เพราะในต่างประเทศก็ใช้มาตรการแบบนี้มานานแล้ว แต่ในประเทศไทยหลายๆองค์กรต้องมีการปรับตัวการทำงาน ทั้งนายจ้างและพนักงาน ซึ่งการทำงานที่บ้านหรือที่พักอาศัยจะมีสิ่งแวดล้อม หรืออุปกรณ์ และโปรแกรมการสื่อสารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงาน ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำเทคนิคการทำงาน Work From Home อย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
1. วางแผนการทำงาน
การวางแผนทำงานในแต่ละวันช่วง Work From Home เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก โดยควรเริ่มจากการประชุมหารือ แบ่งหน้าที่ เพื่อให้เตรียมความพร้อมการทำงานในแต่ละวันให้มีประสิทธิภาพ เพราะถ้าคุณไม่วางแผน อาจทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับงาน รวมไปถึงทำให้งานมีความผิดพลาดได้อีกด้วย
2. โปรแกรมสื่อสาร
โปรแกรมที่ใช้สื่อสารเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะถ้าทำงานในองค์กร พนักงานสามารถพูดคุยกันเป็นทีมได้ทันที แต่การทำงานแบบ Work From Home เป็นรูปแบบทำงานออนไลน์ อยู่ห่างกันต่างสถานที่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้โปรแกรมสื่อสารอย่างเช่น Discord, Zoom, Google Meet เป็นต้น เหมาะสำหรับใช้ประชุมหารือ และคุยกับทีมของคุณได้ทุกเมื่อ
3. มี Work-Life Balance
การทำงาน Work From Home ต้องมีความรับผิดชอบและสมาธิในการทำงานมากกว่าปกติ อาจทำให้หลายๆคนรู้สึกเครียด กดดัน ซึ่งการทำงานอยู่ภายในสถานที่พักอาศัยหรือบ้าน ควรรักษาสมดุลชีวิตอย่างเช่น พักผ่อน, ออกกำลังกาย, สื่อสารกับผู้คนในบ้าน, เล่นกับสัตว์เลี้ยง หรืองานอดิเรกที่ตัวเองชื่นชอบ เพื่อให้ตัวเรามีความสมดุลในชีวิตในด้านจิตใจและสุขภาพ ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับงาน
แน่นอนว่าการทำงาน Work From Home ต้องมีความรับผิดชอบสูงและสมาธิที่เคร่งครัดกว่าปกติ เนื่องจากการทำงานที่บ้านหรือที่พักอาศัย ไม่สร้างแรงจูงใจให้รู้สึกอยากทำงานเท่ากับสถานที่ทำงานภายในองค์กร จึงทำให้ต้องเคร่งครัดอยู่เสมอ รวมไปถึงควรรักษาระดับผลให้ดีเท่ากับการทำงานในองค์กร และต้องรายงานผลลัพธ์แก่นายจ้าง หรือหัวหน้างานอยู่เสมอ
5. จัดสภาพแวดล้อมการทำงาน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพแวดล้อมส่งผลต่อการทำงาน ซึ่งการจัดสภาพแวดล้อมอย่างสถานที่ทำงานของคุณให้ดูสวยงาม มีชีวิตชีวา จะช่วยให้คุณรู้สึกอยากทำงาน ไม่เบื่อหน่าย รวมไปถึงควรมีอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานเช่น เก้าอี้ทำงาน, โต๊ะทำงาน, คอมพิวเตอร์ เป็นต้น รวมไปถึงการจัดแสงสว่างให้เพียงพอต่อการทำงาน ช่วยให้ไม่รู้สึกล้าขณะทำงาน ส่งผลให้การทำงาน Work From Home มีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงานแบบ Work From Home
1. คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ค
คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ค จัดเป็นอุปกรณ์หลักในการทำงาน ซึ่งถือสิ่งจำเป็นอย่างมาก ยิ่งลงทุนกับคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊คที่ดี จะช่วยให้การทำงานราบลื่น ไม่มีการกระตุก และแน่นอนว่าคอมพิวเตอร์จะมีความคงทน ใช้งานได้นาน อีกทั้งสามารถทำงาน และพักผ่อนดูหนัง ฟังเพลงได้อีกด้วย
2. ชั้นรองจอคอมพิวเตอร์
การใช้ชั้นรองจอคอมพิวเตอร์ ช่วยให้หน้าจออยู่ในระดับสายตา และเป็นระดับที่เหมาะสม ช่วยให้ปรับการนั่งได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่รู้สึกเมื่อย ไม่รู้สึกเกร็ง และไม่ปวดหลัง ซึ่งการปรับท่านั่งที่ดี ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอาการออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)
3. ระบบอินเทอร์เน็ต
ระบบอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย เพราะใช้สำหรับเข้าถึงข้อมูล ค้นคว้าข้อมูล และใช้สร้างดูความบันเทิงผ่านสื่อ Social Media ต่างๆ เช่น Facebook, Instagram และดูสื่อบันเทิง TikTok, YouTube ได้เช่นกัน แต่ต้องเลือกใช้ระบบอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูง โดยต้องมีความเร็วเกิน 500 Mbps ขึ้นไป
4. เก้าอี้ทำงาน
การทำงาน Work From Home ต้องนั่งทำงานเป็นเวลาหลายชั่วโมง อาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า และปวดหลังได้ ซึ่งการที่มีเก้าอี้ทำงานที่มีคุณภาพดีอย่าง เก้าอี้ทำงาน สุขภาพ จะช่วยให้ปรับการนั่งให้สมดุล และมีท่าทางถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์
5. โต๊ะทำงาน
การที่มีโต๊ะทำงานที่ความกว้าง และความยาวที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณจัดสรรพื้นที่การทำงานได้ดี และเป็นการจัดสภาพแวดล้อมในการทำงาน ให้รู้สึกดี ไม่เบื่อหน่าย ซึ่งโต๊ะทำงานบางรุ่น มีการปรับระดับความสูงได้เช่นกัน ช่วยให้คุณสามารถปรับท่าทางการทำงาน เป็นยืนทำงานได้อีกด้วย
6. หูฟัง
ในบางครั้งคุณจำเป็นต้องใช้โปรแกรมสื่อสาร เพื่อพูดคุยกับนายจ้าง หรือผู้คนในทีม ซึ่งจำเป็นต้องใช้หูฟัง เพราะได้รับความเป็นส่วนตัว พร้อมกับเสียงคุณภาพดี ที่ทำให้ผู้ฟังสามารถรับฟังได้ชัดเจน ลดการสื่อสารที่ผิดพลาด ส่งผลให้ทำงานได้ตรงตามเป้าหมายกับทุกฝ่าย
7. โคมไฟ
สถานที่ทำงานหรือห้องที่คุณทำงาน ควรมีแสงสว่างที่เพียงพอ โดยต้องมีชนิดหลอดไฟ LED และมีแสงสีขาว พร้อมแสงจากธรรมชาติ ไม่ควรใช้ไฟสีส้ม หรือไฟสลัวๆ ไม่เช่นนั้นจะลดสมาธิในการทำงาน ง่วงนอน งานไม่เสร็จอย่างแน่นอน
8. กล้อง Webcam
คอมพิวเตอร์บางรุ่นอาจจะไม่มีกล้อง Webcam ภายในตัว เหมาะสำหรับคนที่ซื้อคอมพิวเตอร์ติดบ้าน และสะดวกในการใช้คอมพิวเตอร์มากกว่าโน้ตบุ๊ค ซึ่งใช้สำหรับประชุมหารือ หรือติดต่อสื่อสารกับทีมงาน เสมือนได้กลับมาติดต่อและเห็นใบหน้ากันจริงๆในห้องประชุม
9. เมาส์แนวตั้ง
เมาส์แนวตั้ง หรือเมาส์ Ergonomic จะช่วยให้คุณจับเมาส์ได้ถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์ จับเมาส์ได้กระชับมือ ทำให้ใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยที่ไม่ปวดเมื่อย และไม่เกิดอาการบาดเจ็บข้อมือ อีกทั้งเมาส์แนวตั้งส่วนใหญ่เป็นรูปแบบไร้สาย ช่วยเพิ่มอำนวยความสะดวกขณะทำงานมากขึ้น
10. กล้องวงจรปิด
สิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ กล้องวงจรปิด ซึ่งควรติดตั้งภายในสถานที่ เพื่อดูพฤติกรรมหรือการกระทำของผู้คนในบ้าน นอกจากนี้กล้องวงจรปิดในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ โดยหาข้อมูลเกี่ยวกับกล้องวงจรปิดได้ที่ ประเภทกล้องวงจรปิด ซึ่งสามารถใช้ฟังก์ชันระบบสื่อสารและโต้ตอบกับคนในบ้านได้อีกด้วย
ข้อดี-ข้อเสีย ของการทำงานแบบ Work From Home
หลังจากการระบาดของโรคโควิด-19 จึงทำให้หลายๆบริษัทมีการทำงานแบบ Work From Home กันเป็นปกติบ้างแล้ว แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะเบาลง จึงพบว่าการทำงานจากที่บ้านก็มีข้อดีอยู่หลายด้าน และก็มีข้อเสียเช่นกัน ดังนั้นเรามาอธิบายให้ฟังการ Work From Home มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไรกันบ้าง
ข้อดีของ Work From Home
1. ลดความเสี่ยงจากการระบาดโรคโควิด-19
แน่นอนว่าการทำงานที่บ้านจะช่วยรักษาระยะห่างจากผู้คน ช่วยลดความเสี่ยงจากการแพร่และการติดเชื้อโควิด-19 เพราะพนักงานแต่ละคนไม่ต้องเดินทางมายังออฟฟิศหรือที่ทำงาน ซึ่งแต่ละคนมีวิธีเดินทางไม่เหมือนกัน ดังนั้นการ Work From Home ช่วยลดความเสี่ยงได้ดีเลยทีเดียว
2. สามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
เมื่อต้องทำงานที่บ้าน พนักงานสามารถลดค่าใช้จ่ายจากการเดินทาง และประหยัดเวลาในการเดินทาง รวมไปถึงองค์กรก็สามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้เช่นกัน อาทิ ค่าไฟ, ค่าน้ำ, ค่าเสื่อมอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันหลายๆองค์กรเลือกที่จะรับคนเพิ่ม แต่ให้เน้นทำงานที่บ้าน โดยไม่ต้องซื้อโต๊ะพนักงาน เพียงแต่สามารถเข้ามาใช้ห้องประชุม เพื่อหารือหรือเสนอแนวทางแก้ปัญหาได้ตามปกติ
3. ประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น
การ Work From Home ช่วยให้พนักงานมีความยืดหยุ่นและผ่อนคลายมากขึ้น เพราะพนักงานสามารถเลือกสภาพแวดล้อมในการทำงานได้ นอกจากนี้พนักงานมีความเครียดลดลง เพราะการทำงานที่บ้านไกลจากที่ทำงาน ช่วยจำกัดปฏิสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็นระหว่างพนักงานและเพื่อนร่วมงาน ส่งผลให้พนักงานจดจ่ออยู่กับงาน และได้งานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. พึงพอใจกับทางเลือกที่ได้รับ
หลายๆคนให้เสียงตอบรับว่า พึงพอใจที่ได้รับเลือกให้ทำงานที่บ้าน เพราะการทำงานที่บ้านถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของพนักงาน อย่างที่กล่าวไปว่า ไม่ต้องเดินทาง ลดการปฏิสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็นกับเพื่อนร่วมงาน ทำให้ลดความเครียดและความกดดันให้น้อยลง
5. มีอิสระในการทำงาน
เมื่อพนักงานได้ทำงานที่บ้าน จะได้รับอิสระในการทำงาน เพราะลดความกดดันจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน โดยพนักงานสามารถวางแผนการทำงาน และเป้าหมายในแต่ละวันได้ด้วยตนเอง อีกทั้งสามารถเลือกเวลาเลิกงาน พักเที่ยงได้อีกด้วย
ข้อเสียของ Work From Home
1. สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการทำงาน
จากที่เคยกล่าวไปว่า สำหรับการทำงานที่บ้านนั้นไม่เหมาะสม เพราะบางคนมีความคิดว่า บ้านคือสถานที่พักผ่อน ไม่เหมาะกับการทำงาน หากทำงานที่บ้านรู้สึกว่าตนเองไม่ได้พัก และอาจมีเสียงรบกวนจากผู้คนในบ้าน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลง
2. เสียสมาธิค่อนข้างง่าย
แน่นอนว่าบ้านคือ Safe Zone ของใครหลายๆคน และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำงานที่บ้านจะทำให้เสียสมาธิในการทำงานง่ายกว่าในที่ทำงาน เพราะอาจมีสมาชิกภายในบ้านพร้อมหน้าพร้อมตากันเข้ามาหาเราเเละพร้อมที่จะรบกวนเราตลอดเวลา จึงทำให้เสียสมาธิในการทำงานได้ง่ายนั่นเอง
3. ทำงานได้ช้าลง
การ Work from Home อยู่ไกลสายตาของหัวหน้างาน ก็เป็นช่วงเวลาที่พนักงานสามารถอู้งานได้อย่างเป็นทางการ โดยไม่มีสายตาจ้องมอง จึงทำให้งานที่ควรจะเสร็จถูกเลื่อนออกไปจนเกิดความล่าช้า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้างานจะเลือกวิธีติดตามงานอย่างไร โดยที่ไม่กดดันพนักงาน รวมไปถึงตัวเราเองที่สามารถทำตามเป้าหมายในแต่ละวันได้หรือไม่
บทสรุปทิ้งท้าย การทำงาน Work From Home
สำหรับการทำงาน Work From Home ควรจัดสภาพแวดล้อมห้องทำงานให้ดูดี มีชีวิตชีวา เพราะสภาพแวดล้อมส่งผลต่อการทำงานโดยตรง และประสิทธิภาพในการทำงานของคุณ โดยเลือกซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานแบบ Work From Home จะช่วยคุณได้มาก
นอกจากนี้ควรมีการวางแผนการทำงานในแต่ละวัน ตั้งเป้าหมาย เพื่อให้คุณมีกรอบในการทำงาน และบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น พร้อมกับมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงาน ทำให้การทำงานรูปแบบ Work From Home มีประสิทธิภาพไม่แพ้กับอยู่ออฟฟิศแน่นอน